วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

หลักการและแนวความคิดของการบำรุงรักษา

          ปัจจุบันเครื่องจักรและอุปกรณ์ประเภทและชนิดต่างๆเข้ามามีบทบาททั้งในด้านการผลิตสินค้าการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ และการอำนวยความสะดวกต่างๆในชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เพื่อสนองตอบความต้องการที่จะให้ได้สินค้าและสิ่งก่อสร้างต่างๆที่มีคุณภาพดี สะดวกและรวดเร็วในการผลิตและการก่อสร้าง รวมทั้งการทำงานแทนมนุษย์ที่สะดวกและรวดเร็วเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังมักต้องสนองตอบความต้องการในการลดค่าใช้จ่ายในการผลิตและการก่อสร้างลงให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้อีกด้วย และความต้องการดังกล่าวเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพตลอดมาซึ่งจะเห็นได้จากที่มีการพัฒนาเครื่องจักรและอุปกรณ์รูปแบบเดิมให้ดีขึ้นและมีการพัฒนาเครื่องจักรและอุปกรณ์ใหม่ๆออกมาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการผลิตได้มีการนำเอาเครื่องจักรและอุปกรณ์อัตโนมัติรวมถึงหุ่นยนต์อุตสาหกรรมที่สามารถทำงานตามโปรแกรมที่กำหนดไว้ล่วงหน้าได้มาใช้มากขึ้น
              
          การนำเอาเครื่องจักรและอุปกรณ์มาใช้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการผลิตนั้น มิได้มีเพียงข้อดีที่เครื่องจักรและอุปกรณ์ดังกล่าวสามารถทำงานตามความต้องการในการผลิตได้เท่านั้นแต่ในอีกด้านหนึ่งแสดงว่าการผลิตนั้นๆขึ้นอยู่กับเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่นำมาใช้ในการผลิตนั่นก็คือถ้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่นำมาใช้เกิดการชำรุดเสียหายก็จะทำให้การผลิตต้องหยุด หรือถ้าเครื่องจักรและอุปกรณ์เมื่อใช้งานไปแล้วเกิดการเสื่อมสภาพขึ้น สินค้าที่ผลิตออกมาก็จะไม่ได้คุณภาพตามที่กำหนดและความเร็วในการผลิตก็อาจลดลงไปด้วยนอกจากนี้เมื่อเครื่องจักรและอุปกรณ์เสื่อมสภาพก็จะทำให้ประสิทธิภาพของเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นๆลดลง เป็นผลให้มีการสิ้นเปลืองพลังงานเพิ่มมากขึ้น และหากเครื่องจักรและอุปกรณ์มีการใช้งานที่ไม่ถูกต้อง หรือออกแบบมาไม่ดีพอรวมทั้งไม่มีการดูแลรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมแล้วก็จะเกิดอันตรายต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องและทำให้เกิดมลภาวะในด้านต่างๆอีกด้วย ซึ่งประเด็นเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นข้อเสียของเครื่องจักรและอุปกรณ์เมื่อนำมาใช้ในการผลิต นอกเหนือไปจากการลงทุนในการจัดซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์และค่าใช้จ่ายในการใช้งานเครื่องจักรและอุปกรณ์เหล่านี้ในการผลิตที่จะต้องเสียอยู่แล้ว

          การปฏิบัติต่อเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อรักษาข้อดีไว้ และทำให้ข้อเสียที่จะเกิดขึ้นมีน้อยที่สุดนั้นก็คือ การใช้งาน (operation) และการบำรุงรักษา(maintenance)ที่ถูกต้องและเหมาะสมนั่นเองโดยการปฏิบัติต่อเครื่องจักรและอุปกรณ์ทั้งสองประการนี้จะต้องนำมาพิจารณาตั้งแต่ระยะเริ่มแรกของการสร้างเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นๆขึ้นมาหรือระยะต้นของวงจรชีวิต (life cycle)ของเครื่องจักรและอุปกรณ์ซึ่งมักจะเป็นระยะของการศึกษาความเหมาะสมและการออกแบบเบื้องต้น (ถ้าเป็นผู้ผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์มาใช้งานเอง )หรือระยะของการกำหนดรายละเอียด (specifications)ของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่จะจัดหามาใช้ในการผลิต ผลของการนำเอาประเด็นของการใช้งานและการบำรุงรักษามาพิจารณาตั้งแต่ระยะแรกของวงจรชีวิตนั้นก็จะทำให้ปัญหาของการใช้งานและการบำรุงรักษาที่จะต้องปฏิบัติต่อเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นๆเกิดขึ้นน้อยลงอย่างไรก็ตามการนำเอาเครื่องจักรและอุปกรณ์อัตโนมัติมาใช้ในการผลิตจะทำให้ความต้องการของการใช้งานทั้งปริมาณและความยุ่งยากน้อยลง แต่ในทางตรงกันข้ามความต้องการของการบำรุงรักษาทั้งปริมาณและความยุ่งยากซับซ้อนจะมีมากขึ้นนอกจากนี้ลักษณะของงานบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ยังขึ้นอยู่กับตัวแปรจำนวนมากซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องซึ่งกันและกันและมักมีลักษณะที่ไม่แน่นอนอีกด้วย ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีระบบการจัดการงานบำรุงรักษาที่ดีเพื่อให้มั่นใจได้ว่าการบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์จะเป็นไปอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

วงจรชีวิตของเครื่องจักรและอุปกรณ์

          เครื่องจักรและอุปกรณ์มีการเริ่มต้นและสิ้นสุดเช่นเดียวกับมนุษย์และสัตว์ที่มีการเกิดและตายซึ่งเรียกว่าวงจรชีวิต สำหรับวงจรชีวิตของเครื่องจักรและอุปกรณ์นิยมแบ่งออกเป็นช่วงหรือระยะตามขั้นตอนของการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นๆสำหรับวงจรชีวิตของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่นำมาใช้ในการผลิตหรือในโรงงานอุตสาหกรรมนิยมที่จะแบ่งออกเป็น 7 ระยะ โดยมีรายละเอียดของระยะต่างๆและการนำเอาการใช้งานและการบำรุงรักษามาร่วมพิจารณาในแต่ละระยะดังต่อไปนี้คือ 

1. ความต้องการหรือความคิด เป็นระยะเริ่มต้นของเครื่องจักรและอุปกรณ์ โดยเริ่มจากมีความต้องการหรือความคิดที่จะสร้างเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่จะนำมาใช้ในการผลิตซึ่งมักจะเป็นความต้องการหรือความคิดกว้างๆว่าจะสร้างเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อนำไปใช้ทำอะไรในกระบวนการผลิตสินค้าที่กำหนดจึงยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเอาการใช้งานและการบำรุงรักษามาร่วมพิจารณาในระยะนี้

2. การกำหนดรายละเอียด เป็นระยะที่นำเอาความต้องการหรือความคิดในระยะแรกมากำหนดรายละเอียดต่างๆที่เกี่ยวข้องทั้งในด้านเทคนิคและด้านอื่นๆ เช่น การกำหนดขนาดกำลังผลิต การกำหนดกรรมวิธีที่จะนำมาใช้ การกำหนดวงเงินค่าใช้จ่าย และการกำหนดแผนการดำเนินงาน เป็นต้น ซึ่งในระยะนี้ควรจะพิจารณาถึงการใช้งานและการบำรุงรักษาของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่จะสร้างขึ้นด้วยว่าจะต้องมีการควบคุมการใช้งานและการบำรุงรักษาอย่างไรการนำเอาการใช้งานและการบำรุงรักษามาพิจารณาตั้งแต่ระยะต้นๆของวงจรชีวิตของเครื่องจักรและอุปกรณ์นี้ จะทำให้ค่าใช้จ่ายวงจรชีวิต ( life cycle cost, LCC )หรือค่าใช้จ่ายตลอดอายุการใช้งานของเครื่องจักรและอุปกรณต่ำกว่าการนำเอาการใช้งานและการบำรุงรักษามาพิจารณาในระยะหลังๆของวงจรชีวิต ทั้งนี้เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแก้ไขเครื่องจักรและอุปกรณ์ในช่วงระยะต่างๆของวงจรชีวิตจะไม่เท่ากัน เช่น การปรับปรุงแก้ไขในช่วงระยะของการกำหนดรายละเอียดหรือออกแบบจะถูกกว่าการปรับปรุงแก้ไขเมื่อได้สร้างเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นแล้ว เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบว่าเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีราคาถูกมักไม่ได้คำนึงถึงการใช้งานและการบำรุงรักษาในระยะต้นๆก็จะมีการชำรุดเสียหายมากเมื่อนำมาใช้งาน ซึ่งก็จะเป็นผลให้มีค่าใช้จ่ายวงจรชีวิตสูงกว่าเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีราคาแพงกว่าแต่ได้มีการนำเอาการใช้งานและการบำรุงรักษามาร่วมพิจารณาตั้งแต่ระยะต้นๆ

3. การออกแบบ เป็นระยะของการออกแบบชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อนำมาประกอบให้ได้เครื่องจักรและอุปกรณ์ตามรายละเอียดทั้งหมดที่ได้กำหนดไว้ในระยะที่2ซึ่งจะรวมการพิจารณาถึงประเด็นต่างๆที่เกี่ยวข้องด้วย ได้แก่ กรรมวิธีการผลิต และแหล่งภายนอกที่จะจัดหาชิ้นส่วนแต่ละชิ้น เป็นต้น และในช่วงระยะของการออกแบบนี้จะต้องนำเอาการบำรุงรักษามาพิจารณาในรายละเอียดเพื่อเลือกรูปแบบของการบำรุงรักษาที่จะทำให้ค่าใช้จ่ายวงจรชีวิตต่ำที่สุด

4. การสร้างหรือการผลิต เป็นระยะของการเอาแบบของชิ้นส่วนต่างๆที่ได้ออกแบบไว้ในระยะที่ 3 มาผลิตหรือจัดหาจากแหล่งภายนอก แล้วนำเอามาประกอบเข้าเป็นเครื่องจักรและอุปกรณ์ รวมทั้งการนำเอาเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ได้ประกอบแล้วมาตรวจและทดสอบ ซึ่งในระยะนี้จะต้องมีการควบคุมคุณภาพของชิ้นส่วนที่ได้ผลิตหรือจัดหามาแต่ละชิ้น รวมถึงเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ได้ประกอบแล้วให้เป็นไปตามข้อกำหนดที่ได้ระบุไว้ในแบบ ซึ่งคุณภาพของเครื่องจักรและอุปกรณ์นี้จะมีผลโดยตรงต่อการใช้งานและการบำรุงรักษา

5. การติดตั้งและการทดลองเดินเครื่อง เป็นระยะของการนำเอาเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ได้สร้างหรือผลิตโดยผู้ผลิตเสร็จเรียบร้อยแล้วไปติดตั้งในสถานที่หรือโรงงานของผู้ประกอบการ และหลังจากการติดตั้งแล้วก็จะต้องมีการทดลองเดินเครื่องจักรและอุปกรณ์ดังกล่าวด้วยว่าสามารถทำงานได้ตามกำหนดหรือไม่ ซึ่งในช่วงนี้จะต้องใช้ความระมัดระวังเพื่อให้แน่ใจว่าการติดตั้ง
นั้นได้กระทำอย่างถูกต้องตามข้อกำหนดของผู้ผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์  และการทดลองเดินเครื่องก็จะต้องดำเนินการแก้ไขจนกว่าปัญหาที่เกิดขึ้น (ถ้ามี )หมดไป หรือจนกว่าจะแน่ใจว่าจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้น รวมทั้งจะต้องตรวจสอบความต้องการในการบำรุงรักษาที่แนะนำหรือกำหนดโดยผู้ผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์สามารถปฏิบัติตามได้ทุกประการ

6. การใช้งานและการบำรุงรักษา เป็นระยะของการเดินเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อทำการผลิตสินค้า และในเวลาเดียวกันก็จะต้องทำการบำรุงรักษาตามกำหนดอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นๆหมดอายุการใช้งาน ซึ่งอายุการใช้งานของเครื่องจักรและอุปกรณ์จะมีอยู่ 2 ลักษณะคือ อายุการใช้งานทางเทคนิค (technical life)หมายถึงอายุการใช้งานของเครื่องจักรและอุปกรณ์ตั้งแต่เริ่มการใช้งานจนกระทั่งสึกหรอหรือเสื่อมสภาพและไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไปได้อีก และอายุการใช้งานที่ประหยัดที่สุด ( economic life ) หมายถึงอายุการใช้งานที่เครื่องจักรและอุปกรณ์สามารถทำงานได้โดยมีค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมดถูกที่สุด โดยทั่วไปแล้วเมื่อเครื่องจักรและอุปกรณ์ครบอายุการใช้งานที่ประหยัดที่สุด เครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นมักยังคงอยู่ในสภาพที่สามารถทำงานได้ แต่ถ้าใช้ไปก็จะไม่คุ้มค่าใช้จ่าย

7. การเลิกใช้งาน เป็นระยะสุดท้ายของเครื่องจักรและอุปกรณ์เกิดขึ้นเมื่อเครื่องจักรและอุปกรณ์หมดสภาพการใช้งาน ซึ่งอาจเป็นการหมดสภาพการใช้งานทางเทคนิค คือมีการสึกหรอ เสื่อมสภาพ หรือชำรุดเสียหายจนใช้งานไม่ได้ หรือหมดสภาพทางเศรษฐศาสตร์ คือการใช้งานมาจนครบอายุการใช้งานที่ประหยัดที่สุด และถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์ประเภทเดิมอีกก็จะต้องมีการจัดหามาทดแทน โดยควรนำเอาปัญหาของการใช้งานและการบำรุงรักษาที่เกิดขึ้นกับเครื่องจักรและอุปกรณ์เดิมมาร่วมพิจารณาในการจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์ใหม่ที่จะนำมาใช้ทดแทนด้วย

         ในกรณีที่ผู้ประกอบการโรงงานไม่ได้เป็นผู้สร้างหรือผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์เอง อาจพิจารณาเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่จัดหามาใช้ในโรงงานโดยกำหนดให้ระยะเริ่มต้นของวงจรชีวิตเป็นระยะการกำหนดรายละเอียดข้อกำหนดของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ต้องการใช้ในกระบวนการผลิต ซึ่งก็ควรนำเอาการบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์มาร่วมพิจารณาตั้งแต่ระยะเริ่มต้นนี้เลยและถ้าเป็นไปได้ก็ควรที่จะระบุรายละเอียดของการบำรุงรักษาที่ต้องการไว้เป็นส่วนหนึ่งของรายละเอียดข้อกำหนด (Specifications) ของเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นๆด้วย เมื่อได้จัดทำรายละเอียดข้อกำหนดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะจะเป็นการจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์ตามรายละเอียดที่ได้กำหนดไว้ ซึ่งการจัดหามักจะสามารถเลือกเครื่องจักรและอุปกรณ์ประเภทและชนิดเดียวกันได้จากผู้ผลิตหลายราย ในการเลือกเครื่องจักรและอุปกรณ์จากผู้ผลิตรายใดนั้นนิยมที่จะใช้การเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายวงจรชีวิตเป็นเครื่องมือในการตัดสินใจ   โดยค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาจะเป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้วงจรชีวิตดังกล่าวหลังจากได้ตกลงที่จะเลือกเครื่องจักรและอุปกรณ์จากผู้ผลิตรายใดแล้วก็จะเป็นระยะของการติดตั้งและทดลองเดินเครื่อง ซึ่งมักเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นๆ  ในกรณีนี้ผู้ประกอบการโรงงานที่อยู่ในฐานะผู้ใช้ก็จะต้องควบคุมการติดตั้งและทดลองเดินเครื่องอย่างละเอียดรวมทั้งต้องให้แน่ใจว่าการทำงานของเครื่องจักรและอุปกรณ์เป็นไปตามข้อกำหนดทุกประการ ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้นภายหลังในขณะการใช้งาน เมื่อการติดตั้งและทดลองเดินเครื่องเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะเป็นการใช้งานและบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ดังกล่าวตลอดอายุการใช้งาน และเมื่อหมดอายุการใช้งานก็จะเป็นการเลิกการใช้งานในที่สุด


โปรแกรมบริหารงานซ่อมบำรุง ที่ทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น


http://www.todayissoftware.com/isweb/index.php

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ทำไมการนำเอา CMMS ไปใช้จึงล้มเหลว


              CMMS เป็นตัวย่อที่นิยมใช้เรียก ระบบการจัดการงานบำรุงรักษาด้วยคอมพิวเตอร์  ( Computerized Maintenance Management System) ซึ่งในปัจจุบันได้มีการนำมาใช้ในการจัดการงานบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ในโรงงานอุตสาหกรรมและสถานประกอบการที่ให้การบริการ เช่น โรงแรม โรงพยาบาล และศูนย์การค้า เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เนื่องจากปัจจุบันเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมีราคาถูกและมีขีดความสามารถสูงขึ้น
 และโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปของ CMMS มีมากขึ้นและมีราคาถูกลง รวมทั้งผู้บริหารของโรงงานและสถานประกอบการมักเข้าใจว่าการนำเอาระบบการจัดการด้วยคอมพิวเตอร์มาใช้จะช่วยแก้ปัญหาที่มีอยู่ได้ นอกจากนี้ยังมีความกลัวว่าหากไม่นำเอาระบบการจัดการด้วยคอมพิวเตอร์มาใช้แล้วก็จะทำให้ไม่สามารถก้าวทันคู่แข่งได้ แต่ในข้อเท็จจริงแล้วปรากฏว่ามีโรงงานและสถานประกอบการจำนวนมากที่ได้นำเอา CMMS ไปใช้แล้วประสบกับความล้มเหลว หรือสามารถใช้ประโยชน์ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายที่ได้ลงทุนไป หรือไม่ได้ผลตามที่คาดการณ์ไว้ตั้งแต่ต้น ทำให้โรงงานและสถานประกอบการเหล่านี้เสียโอกาสในการเพิ่มผลผลิตหรือประสิทธิภาพในการบริการโดยการจัดการบำรุงรักษาที่มีประสิทธิผลไป เป็นผลให้ไม่สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดได้ทันเวลา ซึ่งก็อาจถึงต้องปิดกิจการไปในที่สุด


สาเหตุของความล้มเหลว
              สาเหตุของความล้มเหลวในการนำเอา CMMS มาใช้ของโรงงานและสถานประกอบการจะแตกต่างกันออกไป แต่ส่วนใหญ่ผู้รับผิดชอบมักจะโทษโปรแกรม CMMS ที่นำมาใช้และการบริการและสนับสนุนของผู้ขายโปรแกรมก่อนเสมอว่าเป็นสาเหตุของความล้มเหลว ซึ่งก็มักเป็นเพียงข้อแก้ตัวของผู้ที่รับผิดชอบเท่านั้น ไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริงของความล้มเหลวที่เกิดขึ้น จากการศึกษาในรายละเอียดพบว่าความล้มเหลวโดยทั่วไปเกิดมาจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งหรือหลายสาเหตุของสาเหตุที่สำคัญ 5 ประการคือ

1. การนำเอา CMMS ไปใช้ในการแก้ไขปัญหาที่ผิด  โรงงานหรือสถานประกอบการได้นำเอา CMMS ไปใช้แก้ปัญหาของการบำรุงรักษาที่ไม่เกี่ยวกับระบบการจัดการเลย ตัวอย่างเช่น ปัญหาของวิธีของการปฏิบัติงานบำรุงรักษาที่ไม่เหมาะสมหรือล้าสมัย ปัญหาของการละเลยการฝึกอบรมที่ผ่านมา หรือปัญหาของโครงสร้างขององค์กรที่ไม่ถูกต้องและเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของการทำธุรกิจในปัจจุบัน เป็นต้น ซึ่งเมื่อปัญหาเหล่านี้ถูกนำขึ้นมา ระบบการจัดการด้วยคอมพิวเตอร์ที่นำมาใช้ก็ไม่สามารถที่จะช่วยได้ และในทางตรงกันข้ามกลับยิ่งเป็นการซ้ำเติมให้ปัญหาที่มีอยู่แก้ไขได้ยากขึ้นไปอีก ดังนั้นก่อนที่จะเริ่มโครงการ CMMS ต้องให้แน่ใจว่าได้กำหนดปัญหาที่จะแก้ไขได้อย่างถูกต้อง ( การนำเอา CMMS มาใช้จะสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้ ตัวอย่างเช่น การควบคุมรายการเครื่องจักรและอุปกรณ์ การจัดทำแผนการบำรุงรักษาป้องกัน และการควบคุมการปฏิบัติงานบำรุงรักษา ที่ยังไม่สามารถจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น )

2. การจัดให้โครงการ CMMS เป็นโครงการในด้านเทคโนโลยี  การจัดให้โครงการ CMMS เป็นโครงการในด้านเทคโนโลยีทำให้ต้องคำนึงถึงมาตรฐานและหลักเกณฑ์ต่างๆ รวมทั้งทำให้มีการตัดสินใจในการใช้ผู้เชี่ยวชาญในด้านคอมพิวเตอร์มาประเมินผลและเปรียบเทียบข้อดีและขีดความสามารถของโปรแกรม CMMS ในบางกรณีอาจใช้เวลาเป็นปีสำหรับการดำเนินงานดังกล่าว ซึ่งอาจทำให้ได้โปรแกรม CMMS ที่มีขีดความสามารถสูงแต่ไม่เหมาะกับสภาพของการจัดการงานบำรุงรักษาที่เป็นอยู่และที่ควรจะเป็นไปในอนาคต อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่าเทคโนโลยีไม่ใช่เรื่องที่สำคัญเสียเลย  โปรแกรม CMMS ควรเป็นโปรแกรมที่ใช้เทคโนโลยีที่เชื่อถือได้ สามารถใช้งานได้สะดวก ไม่เกิดปัญหาในขณะใช้งาน และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือจะต้องสามารถสนองตอบความต้องการได้อย่างครบถ้วน ซึ่งเห็นได้ว่าสำหรับความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่เป็นอยู่ปัจจุบันโครงการ CMMS ในด้านเทคโนโลยีจะเป็นส่วนที่ง่าย แต่ส่วนที่ยากก็คือการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการจัดการ หรืออีกนัยหนึ่งโครงการ CMMS จะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงการจัดการมากกว่าเทคโนโลยี

3. การเลือกโปรแกรม CMMS ที่ไม่เหมาะสมมาใช้  โรงงานหรือสถานประกอบการมักเลือกโปรแกรมที่ไม่เหมาะสมกับการแก้ปัญหาที่ต้องการมาใช้ ตัวอย่างเช่น การเลือกเอาโปรแกรมที่เหมาะกับการจัดการงานบำรุงรักษาเครื่องจักรที่เคลื่อนที่ (  ได้แก่ เครื่องจักรงานก่อสร้าง และเครื่องจักรที่ใช้ในการขนย้ายวัสดุ เป็นต้น) ซึ่งอาจไม่เหมาะสมที่จะใช้กับการจัดการงานบำรุงรักษาเครื่องจักรในโรงงานที่ส่วนใหญ่ทำงานอยู่กับที่ เป็นต้น การเลือกโปรแกรมไม่ตรงกับความต้องการมักเกิดจากการที่ไม่ได้กำหนดขั้นตอนของการเลือกและประเมินโปรแกรม CMMS ที่จะนำมาใช้งานให้ตรงกับความต้องการ หรือมีการกำหนดแต่ไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่ได้กำหนดไว้ ซึ่งขั้นตอนของการเลือกและประเมินโปรแกรม CMMS ที่จะนำมาใช้นั้นควรเริ่มจากการกำหนดความต้องการที่แท้จริงของโรงงานหรือสถานประกอบการเสียก่อนว่าจะนำเอาโปรแกรม CMMS มาช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง แล้วค่อยพิจารณาในด้านเทคนิค ได้แก่ โครงสร้างระบบ เครือข่าย และการรวมเข้ากับระบบอื่น เป็นต้น

4. การจัดการโครงการในช่วงการนำเอา CMMS มาใช้งานไม่ดี การนำเอา CMMS มาใช้ในโรงงานหรือสถานประกอบการมีงานที่ต้องดำเนินการและผู้ที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก จึงควรจัดทำเป็นโครงการ โดยเริ่มต้นตั้งแต่การวางแผนงานที่ครบถ้วนและสามารถปฏิบัติได้ มีการติดตามผลการปฏิบัติงานและประเมินผลความก้าวหน้าเป็นระยะๆ และหากการปฏิบัติไม่เป็นไปตามแผนก็จะต้องมีการกำหนดปัญหาที่เกิดขึ้นและวิธีการแก้ไข โครงการ CMMS ที่ล้มเหลวเนื่องมาจากการจัดการจะเกิดมาจากทุกขั้นตอนของการจัดการ ตั้งแต่การวางแผนที่ไม่ครบถ้วนและไม่สามารถปฏิบัติได้  จนถึงการขาดการติดตาม ประเมินผล และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งรวมถึงบุคลากรที่เกี่ยวข้องไม่ได้ทุมเทให้กับการดำเนินงานตามโครงการด้วย

5. การจัดการกับการเปลี่ยนแปลงไม่เพียงพอหรือไม่มีประสิทธิภาพ  โครงการนำเอา CMMS มาใช้เป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการจัดการงานบำรุงรักษาที่เป็นอยู่จากเดิมที่ดำเนินการโดยใช้พนักงานของโรงงานหรือสถานประกอบการเป็นผู้ดำเนินการมาเป็นระบบที่นำเอาโปรแกรมคอมพิวเตอร์และเครื่องคอมพิวเตอร์มาช่วยในการดำเนินงาน ซึ่งก็จะทำให้งานบางงานที่เคยใช้พนักงานเป็นผู้ดำเนินการจะถูกแทนด้วยการทำงานของโปรแกรมและเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น การทำแผนการบำรุงรักษาป้องกัน การออกใบสั่งงาน และการรายงาน เป็นต้น และมีงานใหม่ที่จำเป็นต้องเพิ่มเติมจากที่มีอยู่เดิม เช่น การสร้างฐานข้อมูล การป้อนข้อมูล และการใช้และดูแลโปรแกรม เป็นต้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จำเป็นต้องมีการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลโดยจะต้องมีแผนสำหรับการเปลี่ยนแปลง มีการปฏิบัติตามแผน และมีการติดตามและประเมินผลและการแก้ไข ซึ่งแผนการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงนี้ควรผนวกเข้ากับแผนการดำเนินงานโครงการ CMMS สิ่งที่สำคัญก็คืออย่าปล่อยให้การเปลี่ยนแปลงต่างๆค่อยๆเกิดขึ้นเอง

การจัดการกับการเปลี่ยนแปลง 
              การจัดการกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นเมื่อนำเอา CMMS มาใช้แทนการจัดการงานบำรุงรักษาในรูปแบบเดิมถือได้ว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้การนำเอา CMMS มาใช้ประสบกับความล้มเหลว และมักจะเป็นปัจจัยที่ถูกมองข้ามไป ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นอย่างถูกต้อง ซึ่งขั้นตอนของการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงควรประกอบด้วย

1. การกำหนดวิสัยทัศน์ของการบำรุงรักษา  การจัดการกับการเปลี่ยนแปลงในการนำเอา CMMS มาใช้ในการจัดการงานบำรุงรักษาควรเริ่มต้นด้วยการกำหนดวิสัยทัศน์ของงานบำรุงรักษาเมื่อได้มีการนำเอาโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาช่วยในการจัดการเพื่อให้พนักงานทุกคนร่วมกันดำเนินการไปในทิศทางที่กำหนดได้อย่างถูกต้อง วิสัยทัศน์จะต้องชัดเจนและเข้าใจง่าย ซึ่งวิสัยทัศน์ของงานบำรุงรักษาเมื่อนำเอา CMMS มาใช้ควรประกอบด้วยข้อความที่อธิบายถึง
   * บทบาทของงานบำรุงรักษาที่มีต่อความสำเร็จของโรงงานหรือสถานประกอบการ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญสำหรับพนักงานที่จะมีผลกระทบต่อการนำเอา CMMS มาใช้ที่จะต้องเข้าใจว่าการบำรุงรักษามีผลต่อโรงงานหรือสถานประกอบการและเครื่องจักรอย่างไร
   * โปรแกรม CMMS จะช่วยสนับสนุนกระบวนการธุรกิจได้อย่างไร รวมทั้งจะช่วยสนับสนุนหน่วยงานบำรุงรักษาและงานบำรุงรักษาที่ทำอยู่ได้อย่างไร
   * การจัดการงานบำรุงรักษาจะเกี่ยวข้องกับหน่วยงานและระบบอื่นภายในองค์กรอย่างไร รวมทั้งความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานภายนอกด้วย

2. การจัดการกับการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ได้ผลลัพธ์เป็นบวก  ส่วนประกอบที่สำคัญประการหนึ่งของการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงก็คือการสื่อสารภายในองค์กรที่จะต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบและรัดกุม เพื่อจะให้พนักงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเข้าใจก่อนว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทำไมถึงจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น และจะมีผลต่อพนักงานที่เกี่ยวข้องแต่ละคนและองค์กรอย่างไร การสื่อสารที่ดีอาจจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่จะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงได้หมดแต่ก็จะช่วยไม่ให้เกิดปัญหาที่ไม่ควรที่จะเกิดขึ้นได้พอสมควร การให้ความรู้และการฝึกอบรมพนักงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเป็นส่วนสำคัญอีกประการหนึ่งของการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงให้ได้ผลลัพธ์เป็นบวก ซึ่งในกรณีของการนำเอา CMMS มาใช้นั้นควรมีการให้ความรู้และการฝึกอบรมพนักงานที่เกี่ยวข้องเป็น 2 ลักษณะคือการให้ความรู้ในด้านหลักการจัดการงานบำรุงรักษา และความรู้ในด้านคอมพิวเตอร์เบื้องต้นสำหรับพนักงานที่เกี่ยวข้องทุกคนเพื่อให้มีความเข้าใจตรงกันในภาพรวม และการฝึกอบรมเกี่ยวกับงานที่จะต้องทำของพนักงานแต่ละคนตามโครงการ CMMS

3. การสนับสนุนจากผู้บริหาร  การจัดการกับการเปลี่ยนแปลงจะประสพผลสำเร็จก็ต่อเมื่อได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารทุกระดับ การสนับสนุนไม่ใช่เพียงการอนุมัติค่าใช้จ่ายของโครงการเท่านั้น แต่หมายถึงการสนับสนุนให้โครงการบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ด้วยการให้เวลาในการตรวจสอบความก้าวหน้าและร่วมช่วยแก้ปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้น รวมทั้งรับรู้ในผลสำเร็จที่เกิดขึ้นด้วย

ที่มา
CMMS Learning Center
สถาบันนวัตกรรมเทคโนโลยีไทย-ฝรั่งเศส มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
บริษัท ไอเอส ซอฟต์แวร์ จำกัด
เอกสารอ้างอิงBill D. Parker “Why CMMS Implementation Fail” Applied Technology Publication,
Inc.  1998




โปรแกรมบริหารงานซ่อมบำรุง ที่ทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น
http://www.todayissoftware.com/isweb/index.php

กลยุทธ์สร้างความเชื่อมั่น การบำรุงรักษา

การบำรุงรักษามุ่งความน่าเชื่อถือเป็นศูนย์กลาง       RCM เริ่มมีพัฒนาการในช่วงทศวรรษ 1950 โดยอุตสาหกรรมอากาศยานที่เป็นผลมาจากการศึกษาความน่าเชื่อถือซึ่งเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ที่มีความซับซ้อน โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษ 1960 ได้มีโครงการศึกษาความน่าเชื่อถือในอุตสาหกรรม อากาศยานเพื่อการตอบสนองต่อปัญหาค่าใช้จ่ายบำรุงรักษาที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและการจัดทำกำหนดการบำรุงรักษาอย่างเหมาะสม ซึ่งได้มีบทบาทในธุรกิจอุตสาหกรรมต่าง ๆ ดังนั้น Reliability-Centered Maintenance จึงเป็นกระบวนการที่ใช้ในการประเมินเพื่อกำหนดนโยบายหรือส่วนประสมทางกลยุทธ์สำหรับจัดการสินทรัพย์ทางกายภาพที่รวมถึง เครื่องจักรอย่างเหมาะสมที่สุด ด้วยการระบุหน้าที่การทำงานของสินทรัพย์และรูปแบบหรือสาเหตุการชำรุด รวมทั้งการกำหนดความต้องการบำรุงรักษาของสินทรัพย์ดังกล่าว โดยที่ RCM สามารถนิยามในรูปของโครงสร้างและกระบวนการทางตรรกะ เพื่อการกำหนดแนวทางบำรุงรักษาอย่างมีประสิทธิผล โดยมุ่งเน้นความบรรลุผลในระดับของความน่าเชื่อถือที่ยอมรับ ดังนั้น RCM จึงเป็นแนวทางอย่างเป็นระบบ เพื่อเข้าใจถึงแนวทางความชำรุดของเครื่องจักรและการระบุงานบำรุงรักษา ที่สามารถลดความชำรุดเสียหายให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด โดยมุ่งความน่าเชื่อถือสูงสุด และ RCM ยังมุ่งแนวทางต่อการพิจารณา เพื่อลดหรือขจัดงานบำรุงรักษาเชิงป้องกันที่เกินความจำเป็น      สำหรับข้อแตกต่างระหว่าง TPM กับ RCM ที่สำคัญ คือ RCM ได้ถูกสนับสนุนกลยุทธ์เพื่อปรับปรุงการบำรุงรักษา ดังที่กล่าวแล้ว เช่น การมุ่งส่วนประสมการบำรุงรักษาและระดับการจัดเก็บชิ้นส่วนอะไหล่ เพื่อประสิทธิผลทางค่าใช้จ่ายในระดับเหมาะสมที่สุด ขณะที่ TPM เป็นเพียงกิจกรรมการบำรุงรักษาแต่ยังไม่สามารถปรับปรุงและยกระดับความน่าเชื่อถือ โดยมุ่งปัจจัยของผู้ปฏิบัติการสำหรับการดูแลรักษาเครื่อง อันได้แก่ทักษะ วิธีการปฏิบัติการ และภาระการทำงานของเครื่อง ซึ่งปัจจัยทั้งหมดนี้จะมีผลกระทบต่อความน่าเชื่อของเครื่องจักร
      RCM มีกระบวนการทบทวนตรรกะ 7 ขั้นตอน ดังแสดงในรูปที่ 1 ซึ่งมีโครงสร้างกระบวนการแบบซ้ำที่ถูกใช้ในการวิเคราะห์ความเสี่ยง ดังนั้นจึงต้องมีการทำความเข้าใจในวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ
รูปที่ 1 กระบวนการดำเนินการ 7 ขั้นตอนของ RCM

เครื่องมือหลักที่ใช้ใน RCM ประกอบด้วย
      - แผนผังการตัดสินใจ หรือแผนภาพทางตรรกะ และมีชื่อย่อว่า MSG –3 (Maintenance Steering Group model 3) โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ทางเทคนิค (Tech nicely feasible) และมีประสิทธิผล
      - การวิเคราะห์ผลกระทบและรูปแบบความเสียหายที่ถูกใช้สำหรับการวิเคราะห์รูปแบบความเสียหายและผลกระทบที่เกิดขึ้น ซึ่งรูปแบบความเสียหาย สามารถอธิบายด้วยรายละเอียดสารสนเทศที่แสดงในใบงาน และรายละเอียดเพื่อเป็นแนวทางในการเลือกกลยุทธ์จัดการความเสียหายบำรุงรักษาได้อย่างเหมาะสม ถ้าหากแสดงรายละเอียดน้อยเกินไปก็อาจส่งผลต่อการวิเคราะห์ที่ผิดพลาด แต่ถ้าหากแสดงรายละเอียดมากเกินไปก็อาจส่งผลต่อกระบวนการ RCM ที่เกินความจำเป็น ดังนั้นการวิเคราะห์จึงต้องพิจารณาถึง:
- ความเป็นเหตุ ( Causation ) : โดยเฉพาะสาเหตุหลัก ( Root causes )
- ความน่าจะเป็น ( Probability ) ของความชำรุดเสียหายก่อนที่จะเกิดขึ้น
- ผลที่กระทบตามมา ( Effects )
- รูปแบบความเสียหาย ( Failure modes ) และการดำเนินการ
สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบและผลกระทบสามารถหาได้จากแหล่งต่าง ๆ ดังนี้
- ข้อมูลจากผู้ผลิตหรือผู้ขายเครื่องจักร
- ผู้ใช้งานเครื่องจักรประเภทเดียวกัน
- บันทึกจากข้อมูลการใช้งานที่ผ่านมา
- บุคลากรผู้ปฏิบัติการและบำรุงรักษาอุปกรณ์ดังกล่าว
รูปที่2 ตัวอย่างแผนภาพการตัดสินใจ

ตารางแสดงตัวอย่างแผ่นงานสำหรับการวิเคราะห์ RCM

มาตรฐานเกณฑ์การคัดเลือกนโยบายการจัดการความชำรุดเสียหาย
- กระบวนการคัดเลือกนโยบายควรดำเนินการบนเงื่อนไขความน่าจะเป็นของรูปแบบความเสียหายที่สูงขึ้นตามอายุการใช้งาน
- การกำหนดการของงานควรมีความเป็นไปไปได้ทางเทคนิคและเกิดประสิทธิผลจากการดำเนินการ ภายใต้นโยบายที่ถูกคัดเลือก
- ถ้าหากมีข้อเสนอนโยบายจัดการความชำรุดเสียหายมากกว่าสองนโยบายขึ้นไป ที่มีความเป็นไปได้ทางเทคนิคและเกิดประสิทธิผล ก็ถือว่านโยบายเหล่านี้เกิดประสิทธิผลทางต้นทุนและควรได้รับการคัดเลือกเพื่อดำเนินการ
นอกจากนี้ยังต้องมีการระบุมาตรฐานและกำหนดการของงาน ซึ่งมีการตรวจติดตามอย่างต่อเนื่อง โดยมีแนวทางพิจารณาดังนี้
- ในกรณีของรูปแบบความชำรุดเสียหายที่ซ่อนเร้น ความเกี่ยวข้องหรือส่งผลต่อกระทบต่อความปลอดภัยของสภาพแวดล้อมการทำงาน ดังนั้นงานที่ถูกระบุควรต้องสามารถลดโอกาสหรือความน่าจะเป็นของความชำรุดเสียหาย ให้อยู่ในระดับที่ผู้ปฏิบัติการสามารถยอมรับได้
- ในกรณีของรูปแบบความชำรุดเสียหายที่ซ่อนเร้น ความเกี่ยวข้องหรือส่งผลต่อกระทบต่อความปลอดภัยของสภาพแวดล้อมการทำงาน ค่าใช้จ่ายทั้งทางตรงและทางอ้อมของการดำเนินกิจกรรมบำรุงรักษา ควรมีค่าน้อยกว่าค่าความเสียหายทั้งในทางตรงและทางอ้อมของผลกระทบที่เกิดขึ้นจากความชำรุดเสียหายรวมกับค่าใช้จ่ายของการซ่อมแซมที่เกิดขึ้น เมื่อทำการวัดเปรียบเทียบตลอดช่วงเวลา
- RCM ควรลดหรือปฏิเสธงานที่ไม่มีผลต่อการลดโอกาสการเกิดความชำรุดเสียหาย ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ของผู้ปฏิบัติการหรือใช้เครื่องจักร
   สำหรับการพิจารณาแนวทางดำเนินการต่อความชำรุดเสีย-หายที่ไม่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยในสภาพแวดล้อมการทำงาน ดังนั้น RCM จะเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายของการดำเนินกิจกรรมงานเดียว เทียบกับค่าความเสียหายครั้งเดียว โดยลืมพิจารณาถึงว่างานดังกล่าวอาจต้องมีการดำเนินการหลายครั้งก่อนที่ความชำรุดเสียหายจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับการค้นหาความบกพร่องที่อาจก่อให้เกิดความชำรุดเสียหายขึ้น ดังนั้นการระบุกิจกรรมงานจึงแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ คือ
1. งานตรวจจับความชำรุดเสียหาย หรืออาจเรียกว่าการคาดการณ์ ที่เกี่ยวข้องกับการบำรุงรักษาตามสภาพ มีการตรวจติดตามสภาพของสินทรัพย์ ( เครื่องจักร ) ที่ถูกใช้งานโดยมุ่งค้นหาสัญญาณแจ้งเตือนก่อนที่การชำรุดเสียหายจะเกิดขึ้น ซึ่งถ้าหากพบความผิดปกติขึ้นและยังมีเวลาเพียงพอก็อาจดำเนินการตามความเหมาะสม โดยอาจมีการกำหนดการงานซ่อมแซมและการจัดซื้อชิ้นส่วน เพื่อการดำเนินการซ่อมแซมนอกสายการผลิต เช่น เครื่องบินที่จอดบริเวณนอกลานบินเพื่อรอการซ่อมแซมและเปลี่ยนชิ้นส่วน แต่ถ้าหากพบสัญญาณแจ้งเตือนและไม่มีเวลาเพียงพอต่อการดำเนินการใด ๆ เพื่อลดหรือขจัดความชำรุดเสียหายที่จะเกิดขึ้น ก็ควรยกเลิกกระบวนการ ของ RCM
2.กำหนดการงานฟื้นฟูสภาพ โดยฟื้นสภาพความสามารถของรายการชิ้นส่วนก่อนช่วงเวลาที่ระบุหรือเวลาที่จำกัด โดยไม่คำนึงถึงเงื่อนไขทางเวลา เพื่อให้มีสภาพการใช้งานในระดับที่ยอมรับได้จนถึงปลายช่วงเวลาถัดไป ซึ่งมีเกณฑ์ในการระบุงานการฟื้นฟูสภาพ คือ
- ควรมีการนิยามและระบุช่วงเวลาที่พิจารณาการฟื้นฟูสภาพอย่างชัดเจน
- งานที่ดำเนินการ ควรต้องสามารถต้านทานความชำรุดเสียหายของชิ้นส่วนหรือองค์ประกอบว่า อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ต่อผู้ปฏิบัติการหรือผู้ใช้สินทรัพย์ (สินทรัพย์)
- กำหนดการงานฟื้นฟูสภาพควรมีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ
3. งานค้นหาความชำรุดเสียหายคือ กำหนดการของงานที่ถูกใช้เพื่อระบุความชำรุดเสียหายซ่อนเร้นที่เกิดขึ้น ซึ่งไม่ใช่การคาดการณ์หรือการป้องกันความชำรุดเสียหาย ดังนั้นกิจกรรมงานดังกล่าวจึงเป็นการตรวจจับความชำรุดเสียหาย ซึ่งได้เกิดขึ้นแล้ว เพื่อที่จะลดโอกาสการเกิดความชำรุดแบบ Multiple failure

เอกสารอ้างอิง1. Jones, RlB.Risk-Based Management- A Reliability –Centered Approach , Gulf Publishing Company,1995
2. Rausand,M Reliability maintenance, Reliability centered maintenance,Reliability Engineering and System Safety,60,pp. 121-132, 1998.
3. Moubray, J Reliability- centered Maintenance, 2nd edition. Industrial Press Inc, 1997
4. Anderson, R.T. Neri L Reliability- Centered Maintenance Management and engineering methods,Elsevier Applied Science, 1990
5. Yoshikazu Takahashi Takashi Osada Total Productive Maintenance,Asian Productivity Organization, 1990
6. Fabrycky, W ,J and Blanchard,B.S.Life-cycle cost and economic analysis Prentice Hall International  Series in Industrial and Systems Engineering 1991
7. Garin, T.A :A Preferred Spare Decision Support SystemIncorporating a Lift Cycle cost Model, Thesis of M.S  Faculty of the School of Engineering of the Air  Force Institute ofTechnology, Air University, 1991
8. Carrubba, E.R.et al Integrating Life-Cycle Cost and Cost-of-Ownership in thr Lcommercial Sector, Proceedings of IEEE Annual Reliabiluty and Maintainability Symposium 1992,pp 101-108,1992
9. Blamchard, B.S. and Fabrycky, W.j. Systems Engineering and Analysis 3rd Edition,Prentice Hall International Series in Industrial and Systems Engineering
อ้างถึง  MECHANICAL Technology Magazine Vol. 3 No.25 October   2003 หน้า 104-107 เขียนโดย โกศล ดีศีลธรรม
Last Updated ( Friday, 29 January 2010 16:43 )

โปรแกรมบริหารงานซ่อมบำรุง ที่ทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น









กลุ่มบริษัท ไอเอส ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2542 จากกลุ่มคนผู้เชี่ยวชาญระดับที่ปรึกษา อันต้องการยกระดับมาตรฐานหน่วยงานบำรุงรักษาของประเทศให้มีมาตรฐานเทียบเท่าสากล และมีเครื่องมือด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัยและถูกต้องตามหลักมาตรฐานงานบำรุงรักษา และด้วยการได้รับความไว้วางใจจากสมาชิกและกลุ่มที่อยู่ในแวดวงอุตสาหกรรม ทำให้กลุ่มไอเอส ขยายกิจกรรมครอบคลุมทุกแขนงของงานด้านบำรุงรักษา จนประกอบด้วยบริษัทที่เป็นที่ยอมรับในกลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ในกลุ่มทั้งหมด 3 บริษัท ได้แก่
     บริษัท ไอเอส ซอฟต์แวร์ จำกัด  มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและให้บริการแบบครบวงจรด้านโปรแกรมสำหรับบริหารงานด้านบำรุงรักษา ภายใต้ซื่อ PMII ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ไทยรายแรกที่พัฒนาสู่เทคโนยี Web Application และอยู่บนมาตรฐานสากล CMMS: Computerized Maintenance Management System และมีสมาชิกที่ใช้ระบบมากกว่า 300 องค์กร 

     บริษัท ศูนย์พัฒนาอุตสาหกรรม จำกัด ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2546 มีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งการกระจายองค์ความรู้ด้านการจัดการภาคทฤษฎี ในรูปแบบการให้คำปรึกษา สัมมนาและเสวนาแบบครบวง มีสมาชิกที่ขอเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 850 องค์กร ทั้งภาคอุตสาหกรรมและองค์กรอื่นๆ
     บริษัท เทคโนโลยีชาเลนท์ จำกัด ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2548 เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีโปรแกรมควบคุมและแสดงผลต่อเนื่องแบบอัตโนมัติทั้งส่วนของการทำงานของเครื่องจักร และการแสดงผลการติดตามสถานะของขบวนการผลิต

ผลงาน- ได้รับการคัดเลือกจากฝ่ายตรวจสอบภายใน โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรดา ให้เป็นที่ปรึกษาในการนำระบบ CMMS เข้าไปบริหารงานหน่วยงานบำรุงรักษาผ่านโปรแกรม PMII ของโรงงานทั้งหมดภายในโครงการส่วนพระองค์
- ได้รับการคัดเลือกให้เป็นโปรแกรมที่ใช้สำหรับบริหารงานบำรุงรักษาของหน่วยงานซ่อมบำรุง  อาทิ
* ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบแห่งชาติ TCDC
* สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
* สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ
* บริษัท สยามโตโยต้า แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด
* บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์(ประเทศไทย) จำกัด
* กลุ่มบริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด
* บริษัท โซนี (ประเทศไทย) จำกัด
* ฯลฯ

ระบบมาตรฐาน- ได้มาตรฐานรับรองระบบ TQS (Thailand Quality Software) บนระบบมาตรฐาน ISO 15504 จากสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)หรือ ซิป้า ร่วมกับ กลุ่มอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย และสมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย
- ได้รับการคัดเลือกจากสถาบันนวัตกรรมเทคโนโลยีไทย – ฝรั่งเศส มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ให้ทำการจัดตั้งศูนย์อบรม CMMS เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางในการพัฒนาโปรแกรมด้านงานบำรุงรักษา และศูนย์กลางการอบรมระบบงานบำรุงรักษาแก่สมาชิก บุคคลทั่วไป นักเรียน นิสิต นักศึกษา และวิศวกรซ่อมบำรุง
การก้าว......
1999 กำเนิด PMII ระบบการจัดการอัจฉริยะที่ก้าวกระโดดงานบำรุงรักษาของประเทศ
2001 สู่ความเป็นสากล ด้วยการพัฒนาระบบฐานข้อมูลเป็น SQL Server รายแรกของประเทศ
2002 จัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาระบบ CMMS ขึ้น ซึ่งเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวของประเทศไทยที่ให้ความรู้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติในงานวางแผนจัดการงานบำรุงรักษา
2002 ผู้นำแนวคิดในการบริการลูกค้า ในรูปแบบของการให้บริการโปรแกรมและการจัดสัมมนาไปพร้อมกัน
2003 Maintenance Software รายแรกที่พัฒนาสู่การเป็น Web Application อย่างเต็มระบบ
2005 ศูนย์ CMMS ครอบคลุมการให้ความรู้ทุกภูมิภาคของประเทศ
2006 ประกาศให้เป็นปีบริการ เน้นความเข้มข้นสู่การบริการอย่างเป็นเลิศด้วย CRM
2007 ได้รับการรับรองระบบมาตรฐาน TQS (ISO 15504) จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
2008 พัฒนาสู่ระบบการแจ้งเตือนอัตโนมัติเพื่อยกระดับงานสู่CBM (Condition Base Maintenance)                                      
                           
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บริษัท ไอเอส ซอฟต์แวร์ จำกัด (สำนักงานใหญ่)
612 ซอยเคหะร่มเกล้า64 แขวงคลองสองต้นนุ่น เขตลาดกระบัง กทม.10520

บริษัท ไอเอส ซอฟต์แวร์ จำกัด (สาขาที่ 1)
68/301 ซอยรามคำแหง 164 ถนนรามคำแหง แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กทม.10510
โทรศัพท์: 0-2917-7433 (Auto)   โทรสาร: 0-2917-7480
http://www.todayissoftware.com/isweb/index.php