RCM มีกระบวนการทบทวนตรรกะ 7 ขั้นตอน ดังแสดงในรูปที่ 1 ซึ่งมีโครงสร้างกระบวนการแบบซ้ำที่ถูกใช้ในการวิเคราะห์ความเสี่ยง ดังนั้นจึงต้องมีการทำความเข้าใจในวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ
รูปที่ 1 กระบวนการดำเนินการ 7 ขั้นตอนของ RCM
เครื่องมือหลักที่ใช้ใน RCM ประกอบด้วย
- แผนผังการตัดสินใจ หรือแผนภาพทางตรรกะ และมีชื่อย่อว่า MSG –3 (Maintenance Steering Group model 3) โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ทางเทคนิค (Tech nicely feasible) และมีประสิทธิผล
- การวิเคราะห์ผลกระทบและรูปแบบความเสียหายที่ถูกใช้สำหรับการวิเคราะห์รูปแบบความเสียหายและผลกระทบที่เกิดขึ้น ซึ่งรูปแบบความเสียหาย สามารถอธิบายด้วยรายละเอียดสารสนเทศที่แสดงในใบงาน และรายละเอียดเพื่อเป็นแนวทางในการเลือกกลยุทธ์จัดการความเสียหายบำรุงรักษาได้อย่างเหมาะสม ถ้าหากแสดงรายละเอียดน้อยเกินไปก็อาจส่งผลต่อการวิเคราะห์ที่ผิดพลาด แต่ถ้าหากแสดงรายละเอียดมากเกินไปก็อาจส่งผลต่อกระบวนการ RCM ที่เกินความจำเป็น ดังนั้นการวิเคราะห์จึงต้องพิจารณาถึง:
- ความเป็นเหตุ ( Causation ) : โดยเฉพาะสาเหตุหลัก ( Root causes )
- ความน่าจะเป็น ( Probability ) ของความชำรุดเสียหายก่อนที่จะเกิดขึ้น
- ผลที่กระทบตามมา ( Effects )
- รูปแบบความเสียหาย ( Failure modes ) และการดำเนินการ
สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบและผลกระทบสามารถหาได้จากแหล่งต่าง ๆ ดังนี้
- ข้อมูลจากผู้ผลิตหรือผู้ขายเครื่องจักร
- ผู้ใช้งานเครื่องจักรประเภทเดียวกัน
- บันทึกจากข้อมูลการใช้งานที่ผ่านมา
- บุคลากรผู้ปฏิบัติการและบำรุงรักษาอุปกรณ์ดังกล่าว
- แผนผังการตัดสินใจ หรือแผนภาพทางตรรกะ และมีชื่อย่อว่า MSG –3 (Maintenance Steering Group model 3) โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ทางเทคนิค (Tech nicely feasible) และมีประสิทธิผล
- การวิเคราะห์ผลกระทบและรูปแบบความเสียหายที่ถูกใช้สำหรับการวิเคราะห์รูปแบบความเสียหายและผลกระทบที่เกิดขึ้น ซึ่งรูปแบบความเสียหาย สามารถอธิบายด้วยรายละเอียดสารสนเทศที่แสดงในใบงาน และรายละเอียดเพื่อเป็นแนวทางในการเลือกกลยุทธ์จัดการความเสียหายบำรุงรักษาได้อย่างเหมาะสม ถ้าหากแสดงรายละเอียดน้อยเกินไปก็อาจส่งผลต่อการวิเคราะห์ที่ผิดพลาด แต่ถ้าหากแสดงรายละเอียดมากเกินไปก็อาจส่งผลต่อกระบวนการ RCM ที่เกินความจำเป็น ดังนั้นการวิเคราะห์จึงต้องพิจารณาถึง:
- ความเป็นเหตุ ( Causation ) : โดยเฉพาะสาเหตุหลัก ( Root causes )
- ความน่าจะเป็น ( Probability ) ของความชำรุดเสียหายก่อนที่จะเกิดขึ้น
- ผลที่กระทบตามมา ( Effects )
- รูปแบบความเสียหาย ( Failure modes ) และการดำเนินการ
สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบและผลกระทบสามารถหาได้จากแหล่งต่าง ๆ ดังนี้
- ข้อมูลจากผู้ผลิตหรือผู้ขายเครื่องจักร
- ผู้ใช้งานเครื่องจักรประเภทเดียวกัน
- บันทึกจากข้อมูลการใช้งานที่ผ่านมา
- บุคลากรผู้ปฏิบัติการและบำรุงรักษาอุปกรณ์ดังกล่าว
รูปที่2 ตัวอย่างแผนภาพการตัดสินใจ
ตารางแสดงตัวอย่างแผ่นงานสำหรับการวิเคราะห์ RCM
มาตรฐานเกณฑ์การคัดเลือกนโยบายการจัดการความชำรุดเสียหาย
- กระบวนการคัดเลือกนโยบายควรดำเนินการบนเงื่อนไขความน่าจะเป็นของรูปแบบความเสียหายที่สูงขึ้นตามอายุการใช้งาน
- การกำหนดการของงานควรมีความเป็นไปไปได้ทางเทคนิคและเกิดประสิทธิผลจากการดำเนินการ ภายใต้นโยบายที่ถูกคัดเลือก
- ถ้าหากมีข้อเสนอนโยบายจัดการความชำรุดเสียหายมากกว่าสองนโยบายขึ้นไป ที่มีความเป็นไปได้ทางเทคนิคและเกิดประสิทธิผล ก็ถือว่านโยบายเหล่านี้เกิดประสิทธิผลทางต้นทุนและควรได้รับการคัดเลือกเพื่อดำเนินการ
นอกจากนี้ยังต้องมีการระบุมาตรฐานและกำหนดการของงาน ซึ่งมีการตรวจติดตามอย่างต่อเนื่อง โดยมีแนวทางพิจารณาดังนี้
- ในกรณีของรูปแบบความชำรุดเสียหายที่ซ่อนเร้น ความเกี่ยวข้องหรือส่งผลต่อกระทบต่อความปลอดภัยของสภาพแวดล้อมการทำงาน ดังนั้นงานที่ถูกระบุควรต้องสามารถลดโอกาสหรือความน่าจะเป็นของความชำรุดเสียหาย ให้อยู่ในระดับที่ผู้ปฏิบัติการสามารถยอมรับได้
- ในกรณีของรูปแบบความชำรุดเสียหายที่ซ่อนเร้น ความเกี่ยวข้องหรือส่งผลต่อกระทบต่อความปลอดภัยของสภาพแวดล้อมการทำงาน ค่าใช้จ่ายทั้งทางตรงและทางอ้อมของการดำเนินกิจกรรมบำรุงรักษา ควรมีค่าน้อยกว่าค่าความเสียหายทั้งในทางตรงและทางอ้อมของผลกระทบที่เกิดขึ้นจากความชำรุดเสียหายรวมกับค่าใช้จ่ายของการซ่อมแซมที่เกิดขึ้น เมื่อทำการวัดเปรียบเทียบตลอดช่วงเวลา
- RCM ควรลดหรือปฏิเสธงานที่ไม่มีผลต่อการลดโอกาสการเกิดความชำรุดเสียหาย ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ของผู้ปฏิบัติการหรือใช้เครื่องจักร
สำหรับการพิจารณาแนวทางดำเนินการต่อความชำรุดเสีย-หายที่ไม่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยในสภาพแวดล้อมการทำงาน ดังนั้น RCM จะเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายของการดำเนินกิจกรรมงานเดียว เทียบกับค่าความเสียหายครั้งเดียว โดยลืมพิจารณาถึงว่างานดังกล่าวอาจต้องมีการดำเนินการหลายครั้งก่อนที่ความชำรุดเสียหายจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับการค้นหาความบกพร่องที่อาจก่อให้เกิดความชำรุดเสียหายขึ้น ดังนั้นการระบุกิจกรรมงานจึงแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ คือ
- กระบวนการคัดเลือกนโยบายควรดำเนินการบนเงื่อนไขความน่าจะเป็นของรูปแบบความเสียหายที่สูงขึ้นตามอายุการใช้งาน
- การกำหนดการของงานควรมีความเป็นไปไปได้ทางเทคนิคและเกิดประสิทธิผลจากการดำเนินการ ภายใต้นโยบายที่ถูกคัดเลือก
- ถ้าหากมีข้อเสนอนโยบายจัดการความชำรุดเสียหายมากกว่าสองนโยบายขึ้นไป ที่มีความเป็นไปได้ทางเทคนิคและเกิดประสิทธิผล ก็ถือว่านโยบายเหล่านี้เกิดประสิทธิผลทางต้นทุนและควรได้รับการคัดเลือกเพื่อดำเนินการ
นอกจากนี้ยังต้องมีการระบุมาตรฐานและกำหนดการของงาน ซึ่งมีการตรวจติดตามอย่างต่อเนื่อง โดยมีแนวทางพิจารณาดังนี้
- ในกรณีของรูปแบบความชำรุดเสียหายที่ซ่อนเร้น ความเกี่ยวข้องหรือส่งผลต่อกระทบต่อความปลอดภัยของสภาพแวดล้อมการทำงาน ดังนั้นงานที่ถูกระบุควรต้องสามารถลดโอกาสหรือความน่าจะเป็นของความชำรุดเสียหาย ให้อยู่ในระดับที่ผู้ปฏิบัติการสามารถยอมรับได้
- ในกรณีของรูปแบบความชำรุดเสียหายที่ซ่อนเร้น ความเกี่ยวข้องหรือส่งผลต่อกระทบต่อความปลอดภัยของสภาพแวดล้อมการทำงาน ค่าใช้จ่ายทั้งทางตรงและทางอ้อมของการดำเนินกิจกรรมบำรุงรักษา ควรมีค่าน้อยกว่าค่าความเสียหายทั้งในทางตรงและทางอ้อมของผลกระทบที่เกิดขึ้นจากความชำรุดเสียหายรวมกับค่าใช้จ่ายของการซ่อมแซมที่เกิดขึ้น เมื่อทำการวัดเปรียบเทียบตลอดช่วงเวลา
- RCM ควรลดหรือปฏิเสธงานที่ไม่มีผลต่อการลดโอกาสการเกิดความชำรุดเสียหาย ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ของผู้ปฏิบัติการหรือใช้เครื่องจักร
สำหรับการพิจารณาแนวทางดำเนินการต่อความชำรุดเสีย-หายที่ไม่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยในสภาพแวดล้อมการทำงาน ดังนั้น RCM จะเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายของการดำเนินกิจกรรมงานเดียว เทียบกับค่าความเสียหายครั้งเดียว โดยลืมพิจารณาถึงว่างานดังกล่าวอาจต้องมีการดำเนินการหลายครั้งก่อนที่ความชำรุดเสียหายจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับการค้นหาความบกพร่องที่อาจก่อให้เกิดความชำรุดเสียหายขึ้น ดังนั้นการระบุกิจกรรมงานจึงแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ คือ
1. งานตรวจจับความชำรุดเสียหาย หรืออาจเรียกว่าการคาดการณ์ ที่เกี่ยวข้องกับการบำรุงรักษาตามสภาพ มีการตรวจติดตามสภาพของสินทรัพย์ ( เครื่องจักร ) ที่ถูกใช้งานโดยมุ่งค้นหาสัญญาณแจ้งเตือนก่อนที่การชำรุดเสียหายจะเกิดขึ้น ซึ่งถ้าหากพบความผิดปกติขึ้นและยังมีเวลาเพียงพอก็อาจดำเนินการตามความเหมาะสม โดยอาจมีการกำหนดการงานซ่อมแซมและการจัดซื้อชิ้นส่วน เพื่อการดำเนินการซ่อมแซมนอกสายการผลิต เช่น เครื่องบินที่จอดบริเวณนอกลานบินเพื่อรอการซ่อมแซมและเปลี่ยนชิ้นส่วน แต่ถ้าหากพบสัญญาณแจ้งเตือนและไม่มีเวลาเพียงพอต่อการดำเนินการใด ๆ เพื่อลดหรือขจัดความชำรุดเสียหายที่จะเกิดขึ้น ก็ควรยกเลิกกระบวนการ ของ RCM
2.กำหนดการงานฟื้นฟูสภาพ โดยฟื้นสภาพความสามารถของรายการชิ้นส่วนก่อนช่วงเวลาที่ระบุหรือเวลาที่จำกัด โดยไม่คำนึงถึงเงื่อนไขทางเวลา เพื่อให้มีสภาพการใช้งานในระดับที่ยอมรับได้จนถึงปลายช่วงเวลาถัดไป ซึ่งมีเกณฑ์ในการระบุงานการฟื้นฟูสภาพ คือ
- ควรมีการนิยามและระบุช่วงเวลาที่พิจารณาการฟื้นฟูสภาพอย่างชัดเจน
- งานที่ดำเนินการ ควรต้องสามารถต้านทานความชำรุดเสียหายของชิ้นส่วนหรือองค์ประกอบว่า อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ต่อผู้ปฏิบัติการหรือผู้ใช้สินทรัพย์ (สินทรัพย์)
- กำหนดการงานฟื้นฟูสภาพควรมีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ
3. งานค้นหาความชำรุดเสียหายคือ กำหนดการของงานที่ถูกใช้เพื่อระบุความชำรุดเสียหายซ่อนเร้นที่เกิดขึ้น ซึ่งไม่ใช่การคาดการณ์หรือการป้องกันความชำรุดเสียหาย ดังนั้นกิจกรรมงานดังกล่าวจึงเป็นการตรวจจับความชำรุดเสียหาย ซึ่งได้เกิดขึ้นแล้ว เพื่อที่จะลดโอกาสการเกิดความชำรุดแบบ Multiple failure
2.กำหนดการงานฟื้นฟูสภาพ โดยฟื้นสภาพความสามารถของรายการชิ้นส่วนก่อนช่วงเวลาที่ระบุหรือเวลาที่จำกัด โดยไม่คำนึงถึงเงื่อนไขทางเวลา เพื่อให้มีสภาพการใช้งานในระดับที่ยอมรับได้จนถึงปลายช่วงเวลาถัดไป ซึ่งมีเกณฑ์ในการระบุงานการฟื้นฟูสภาพ คือ
- ควรมีการนิยามและระบุช่วงเวลาที่พิจารณาการฟื้นฟูสภาพอย่างชัดเจน
- งานที่ดำเนินการ ควรต้องสามารถต้านทานความชำรุดเสียหายของชิ้นส่วนหรือองค์ประกอบว่า อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ต่อผู้ปฏิบัติการหรือผู้ใช้สินทรัพย์ (สินทรัพย์)
- กำหนดการงานฟื้นฟูสภาพควรมีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ
3. งานค้นหาความชำรุดเสียหายคือ กำหนดการของงานที่ถูกใช้เพื่อระบุความชำรุดเสียหายซ่อนเร้นที่เกิดขึ้น ซึ่งไม่ใช่การคาดการณ์หรือการป้องกันความชำรุดเสียหาย ดังนั้นกิจกรรมงานดังกล่าวจึงเป็นการตรวจจับความชำรุดเสียหาย ซึ่งได้เกิดขึ้นแล้ว เพื่อที่จะลดโอกาสการเกิดความชำรุดแบบ Multiple failure
เอกสารอ้างอิง1. Jones, RlB.Risk-Based Management- A Reliability –Centered Approach , Gulf Publishing Company,1995
2. Rausand,M Reliability maintenance, Reliability centered maintenance,Reliability Engineering and System Safety,60,pp. 121-132, 1998.
3. Moubray, J Reliability- centered Maintenance, 2nd edition. Industrial Press Inc, 1997
4. Anderson, R.T. Neri L Reliability- Centered Maintenance Management and engineering methods,Elsevier Applied Science, 1990
5. Yoshikazu Takahashi Takashi Osada Total Productive Maintenance,Asian Productivity Organization, 1990
6. Fabrycky, W ,J and Blanchard,B.S.Life-cycle cost and economic analysis Prentice Hall International Series in Industrial and Systems Engineering 1991
7. Garin, T.A :A Preferred Spare Decision Support SystemIncorporating a Lift Cycle cost Model, Thesis of M.S Faculty of the School of Engineering of the Air Force Institute ofTechnology, Air University, 1991
8. Carrubba, E.R.et al Integrating Life-Cycle Cost and Cost-of-Ownership in thr Lcommercial Sector, Proceedings of IEEE Annual Reliabiluty and Maintainability Symposium 1992,pp 101-108,1992
9. Blamchard, B.S. and Fabrycky, W.j. Systems Engineering and Analysis 3rd Edition,Prentice Hall International Series in Industrial and Systems Engineering
Last Updated ( Friday, 29 January 2010 16:43 )
โปรแกรมบริหารงานซ่อมบำรุง ที่ทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น