วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2559

ติดต่อประสานงานยังไงให้ประสบความสำเร็จในปี 2016

communication-skill

การมีทักษะในการสื่อสารที่ดีนั้นย่อมนำพามาสู่ความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการติดต่อกับผู้คนเพื่อสร้างความสัมพันธ์ และพันธมิตร หรือการติดต่อธุรกิจต่างๆ คนที่ “รู้จัก” วิธีการสื่อสารที่ดี ย่อมส่งผลให้คู่สนทนาให้ความเชื่อถือและยินดีที่จะร่วมโครงการหรือติดต่อธุรกิจกับเรา
ในทางตรงกันข้ามหากเรามีทักษะการสื่อสารที่ไม่ดี หรือไม่รู้วิธีการสื่อสารที่ถูกต้อง ไม่สามารถทำให้คู่สนทนาเข้าใจในสิ่งที่เรากำลังสื่อสาร อาจทำให้เกิดการเข้าใจที่ผิด การติดต่องานหรือธุรกิจของเราก็ย่อมไม่มีประสิทธิภาพ หรืออาจส่งผลจนทำให้การติดต่อสื่อสารของเราไม่ประสบความสำเร็จเลยก็ได้
การสื่อสารเป็นกระบวนการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างบุคคลและกลุ่มบุคคล ดังนั้นในการติดต่อประสานงานให้ประสบความสำเร็จได้นั้น ผู้ติดต่อสื่อสารจำเป็นต้องมีทักษะการสื่อสารที่ดี  ต้องใช้ประสบการณ์และความสามารถในการถ่ายทอดความคิด ข้อมูล และวัตถุประสงค์ ให้ผู้รับสารเข้าใจอย่างชัดเจน ดังนั้นการติดต่อประสานงานจะสำเร็จได้ด้วยการที่ผู้พูดและผู้ฟังมีความเข้าใจตรงกัน
ท่านผู้อ่านคงเห็นแล้วว่า การสื่อสารที่ผิดพลาดนั่นเป็นสิ่งที่น่ากลัวจริงๆ เพราะไม่เพียงแต่จะส่งผลเสียในการติดต่อธุรกิจ แต่มันยังส่งผลต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์และตัวของเราเองด้วย
วันนี้ตลาดปัญญาจึงมีเทคนิคที่จะช่วยให้เราได้มาซึ่งทักษะการสื่อสารที่ดีและเป็นมืออาชีพ มาเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับสมาชิกตลาดปัญญาทุกๆคน เพราะเราเชื่อว่าทักษะการสื่อสารที่ดีย่อมทำให้การติดต่อประสานงานของเรามีประสิทธิภาพ และประสบความสำเร็จในที่สุด มาเรียนรู้และเริ่มใช้เป็นกลยุทธ์การสื่อสารของปีนี้กันเลย

ขั้นตอนของการสร้างทักษะการสื่อสารที่ดี

1. รู้ว่าจะพูดอะไรและทำไม

ก่อนที่เราจะสื่อสารกับใคร เราต้องทำความเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ และสิ่งที่เราต้องการสื่อสารอย่างชัดเจนเสียก่อน  เราต้องรู้ว่าเรากำลังสื่อสารกับใครและทำไม วิธีการที่จะช่วยให้การติดต่อประสานมีประสิทธิภาพก็คือการที่เราต้องทำความเข้าใจกับบุคคลที่เรากำลังสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นในด้านของอายุ วัฒนธรรม แนวคิด เพศ  เราต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนเสมอว่า เรามีจุดประสงค์อะไรในการติดต่อกับคนนั้นๆ เพื่อขายโฆษณา เพื่อประสานงาน เพื่อเชิญมาร่วมโครงการ เมื่อเราตอบได้ เราจะรู้ว่าควรจะพูดอะไรกับผู้ที่เราไปติดต่อ

2. จะพูดได้อย่างไร

เมื่อเรารู้ว่าจะพูดอย่างไร สิ่งที่เราควรรู้ต่อมาก็คือควรพูดในสถานการณ์ไหน ต้องรู้จักการสบตากับคู่สนทนา เพราะการสบตาคู่สนทนาระหว่างพูดจะช่วยให้คู่สนทนาเห็นว่าเรามีความจริงใจ และมีความเชื่อมั่นในสิ่งที่เรากำลังนำเสนอ และอย่าลืมที่จะใช้ท่าทางประกอบการพูดให้เหมาะสมตามสถานการณ์ด้วยเช่นกัน รวมทั้งการพยักหน้าตอบรับ เพราะมันแสดงให้เห็นว่าเรามีความเต็มใจและสนใจคู่สนทนา ท่าทางที่ดีจะช่วยให้การสื่อสารของเราเป็นไปอย่างราบรื่น

3. สนทนาอย่างมีประสิทธิภาพ

การติดต่อประสานงานเป็นการสื่อสาร 2 ทาง หลังจากที่เราพูดจบแล้ว สิ่งต่อมาคือการหยุดแล้วสังเกตปฏิกิริยาของคู่สนทนาว่าเขารู้สึกอย่างไร และเข้าใจสิ่งที่เราสื่อสารว่าอย่างไร ในขณะที่คู่สนทนากำลังพูด ควรระมัดระวังการพูดที่จะเป็นการตัดบทสนทนา หรือไม่ใส่ใจฟังสิ่งที่พวกเขากำลังพูดอยู่  ควรตั้งใจฟังคู่สนทนาและเสนอไอเดียหรือความคิดเห็นของเราได้ตามความเหมาะสมเพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นว่าเรามีความสนใจในสิ่งที่พวกเขากำลังพูด
หากการสนทนาติดต่อประสานงานจบสิ้นลงแล้ว อย่าลืมที่จะทบทวนว่าสิ่งที่เราสื่อสารนั้นถูกต้องตามที่เราต้องการนำเสนอหรือไม่ คู่สนทนาเข้าใจสิ่งที่เราได้คุยไปหรือไม่ โดยการเปิดโอกาสให้คู่สนทนาได้ถามคำถาม โดยไม่ควรถามเป็นคำถามปลายปิดที่ให้ตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ แต่ให้ถามเป็นคำถามปลายเปิด เช่น คุณมีความคิดเห็นอย่างไร คุณมองว่าไอเดียนี้เป็นอย่างไรบ้าง เป็นต้น

4. ทิ้งท้ายและติดตามผล

วัตถุประสงค์หนึ่งของการติดต่อประสานงานส่วนใหญ่ก็คือ ต้องการให้คู่สนทนาตอบตกลงหรือคล้อยตามในสิ่งที่เรากำลังนำเสนอ แน่นอนว่าการตอบตกลงย่อมเป็นสิ่งที่เราต้องการ แต่ถ้าหากคู่สนทนายังไม่ได้ตัดสินใจในทันที อย่าลืมที่จะเสนออะไรบางอย่างหรือทิ้งท้ายให้พวกเขาได้นำเรื่องที่พูดคุยในวันนี้กลับไปคิด ไม่ว่าจะเป็นการบอกถึงผลประโยชน์ที่พวกเขาจะได้รับ โอกาสที่พวกเขาจะได้รับ หรือเสนอให้คู่สนทนารู้ว่าสิ่งที่เรานำเสนอหรือพูดคุยนั้นจะช่วยแก้ไขปัญหาที่พวกเขากำลังเจออยู่ได้อย่างไร สุดท้ายอย่าลืมที่จะขอติดตามผลการพูดคุยและแจ้งข้อมูลการติดต่อเราให้พวกเขาทราบ
แม้จะไม่มีอะไรที่สามารถการันตีได้ว่าการสื่อสารติดต่อประสานงานจะประสบความสำเร็จในทุกครั้ง แต่การเข้าใจคู่สนทนา ให้เกียรติคู่สนทนาย่อมทำให้ก่อเกิดมิตรภาพที่ดีระหว่างเรากับคู่สนทนา จนอาจส่งผลให้การติดต่อของเราประสบความสำเร็จในที่สุด
Liu-content

เทคนิคเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาทักษะด้านการสื่อสาร

ฝึกฝนทักษะการฟังของเรา ด้วยการฟังอย่างตั้งใจและพยายามจับประเด็นจากการพูดให้ได้ รวมไปถึงเข้าใจสิ่งที่คู่สนทนาต้องการ การฟังเยอะ อ่านเยอะ สังเกตเยอะ จะช่วยให้เราสามารถพัฒนาทักษะทางการสื่อสารได้อย่างรวดเร็ว
เรียนรู้ที่จะเข้าใจผู้อื่น โดยการเปิดใจให้กว้างและรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นอยู่เสมอ นักสื่อสารที่ดีคือผู้ที่สามารถสร้างจุดร่วมระหว่างความแตกต่างได้ ส่วนนักการสื่อสารที่ไม่ดีคือผู้ที่ยัดเยียดความคิดของตัวเองให้ผู้อื่นแต่เพียงฝ่ายเดียว
ระมัดระวังที่จะพูดในเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจของคู่สนทนา เพราะหากเราผู้อะไรที่ทำให้คู่สนทนาเกิดความไม่พอใจ นั่นย่อมส่งผลให้การติดต่อประสานงานครั้งนี้ของเราไม่ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
เข้าร่วมอบรมหรืองานสัมมนาที่จะช่วยให้คุณพัฒนาทักษะในด้านการสื่อสาร หรือแม้แต่การร่วมกิจกรรมต่างๆในสังคมหรือชุมชนอยู่เสมอ เพราะการพบปะผู้คนบ่อยๆ  จะช่วยให้เรามีทักษะและประสบการณ์ในการสื่อสารมากยิ่งขึ้น
เมื่อเราสละเวลาให้กับการฝึกฝนตามวิธีการเหล่านี้ มันจะเป็นการเปิดโอกาสให้เรากลายเป็นนักสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ สามารถประสานงานและสร้างความสัมพันธ์ทั้งกับคนในองค์กรและคนนอกองค์กร คู่ค้า และผู้ร่วมธุรกิจหรือแม้แต่ลูกค้าของเรา นอกจากนั้นการที่เรามีทักษะการสื่อสารที่ดียังช่วยให้เรามีความพัฒนามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในด้านหน้าที่การงาน หรือแม้แต่สร้างความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ที่ดีให้กับตัวของเราเอง

ขอขอบคุณแหล่งที่มาโดย:

เส้นด้าย สีรุ้ง – ทีมงานตลาดปัญญา









โปรแกรมบริหารงานซ่อมบำรุง ที่ทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น


วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2559

“เก่งคน” สำเร็จได้ไม่แพ้ “เก่งงาน”

                 โดยทั่วไปความสาเร็จทางอาชีพการงานมักเชื่อมโยงเข้ากับความรู้ ทักษะ หรือประสบการณ์การทำงานอยู่เสมอ ปัจจัยอื่นที่มีบทบาทสาคัญในการทำงานมักถูกละเลย ถ้าหากคุณทำงานในองค์กรที่พร้อมจะมอบความก้าวหน้าในอาชีพให้กับคน”เก่งงาน”เช่นคุณ คุณสามารถมั่นใจได้ว่าหนทางสู่ความสำเร็จในหน้าที่การงานนั้นอยู่ตรงหน้าคุณแล้วแต่อาจไม่ใช่ทุกคนที่พบกับความโชคดีนั้น ถึงเวลาแล้วที่จะมองหาช่องทางในการพัฒนาการทำงานของคุณเพื่อก้าวไปสู่ความสาเร็จ
Soft skill คืออะไร
                  Soft Skill ซึ่งในที่นี้แทนด้วยคาว่า “เก่งคน” หมายถึง การมีทักษะในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น อาทิ การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ ทักษะในการแก้ไขปัญหา ภาวะความเป็นผู้นำ การสร้างความสัมพันธ์ในทีมงาน ความยืดหยุ่น การมีพลังในตนเอง ทัศนคติเชิงบวก ความมีมนุษยสัมพันธ์ รวมถึงความสมัครใจเรียนรู้สิ่งใหม่


  คุณเริ่มพิจารณา Soft skill ของคุณเพื่อนาไปใช้ในการสมัครงานหรือยัง? ทั้งนี้ Soft skill เพียงอย่างเดียวไม่สามารถช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในการสมัครงานได้ อเด็คโก้แนะนาให้คุณปรับใช้ Soft skill ของคุณร่วมกับความรู้ ความสามารถอื่นที่คุณมีอยู่จึงจะเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการสมัครงาน Soft skill มีบทบาทสาคัญอย่างมากในทุกองค์กรและทุกความสำเร็จ ทักษะเหล่านี้จะส่งผลให้คุณโดดเด่นกว่าผู้สมัครงานผู้อื่นที่มีคุณสมบัติเทียบเท่าหรือสูงกว่าคุณ นอกจากนี้ทักษะนี้ยังสามารถปรับใช้ได้กับทุกสายอาชีพ


ทุกคนมี Soft Skill หรือไม่
Soft skill เป็นพฤติกรรมเฉพาะที่แต่ละบุคคลมีอยู่ บางคนอาจมีทักษะที่ดีเลิศและสามารถนำไปใช้ได้ในทุกสถานการณ์ เช่น ทักษะในการเรียนรู้อย่างรวดเร็ว ทักษะการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ หรือ ความสามารถในการควบคุมและได้รับการนับถือจากผู้บริหาร
ทักษะดังกล่าวนั้นไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้ หากแต่เกิดจากการพัฒนาและฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง อาทิ ทักษะในการแก้ไขปัญหา บางคนสามารถจัดการกับปัญหาได้เป็นอย่างดี สามารถหาทางแก้ไขกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่บางคนอาจรู้สึกเป็นเรื่องยากลำบาก ดังนั้นการพัฒนาทักษะในการแก้ไขปัญหา คุณจำเป็นต้องเรียนรู้มากยิ่งขึ้นในเรื่องการแก้ปัญหา คุณอาจเข้าร่วมสัมมนาหัวข้อการมองปัญหาหลากหลายแง่มุมและฝึกฝนให้คุณเรียนรู้ด้วยตนเอง


ความโดดเด่น
ผู้ที่มองหางานที่เต็มไปด้วยคุณสมบัติด้านการศึกษาและประสบการณ์การทำงานมีจำนวนมาก แต่การมองหาผู้สมัครงานที่มี Soft skill กลับตรงกันข้าม ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องยาก ราวกับการงมเข็มในมหาสมุทรเลยทีเดียว แม้ว่านายจ้างส่วนใหญ่ไม่ได้ระบุถึง Soft skill ในการประกาศสมัครงาน แต่พวกเขาคาดหวังและมองหา Soft skill ในตัวผู้สมัครงานอย่างแน่นอน หลายองค์กรเลือกที่จะจ้างบุคลากรที่มีระดับ Soft skill สูง มากกว่าการคัดเลือกจากคุณสมบัติเรื่องความรู้ ความสามารถเป็นหลัก บางองค์กรจัดโครงการฝึกฝน พัฒนา Soft skill ของผู้สมัครงานเพื่อให้เหมาะสมกับตำแหน่งงาน ซึ่งเป็นสิ่งนอกเหนือจากการคัดเลือกผู้ที่มีทักษะหลักที่เกี่ยวกับงานและเป็นประโยชน์แก่องค์กร


มุ่งสู่หนทางที่สูงขึ้นหากคุณมีคุณสมบัติเหล่านี้แล้ว จงพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเตรียมตัวคุณให้พร้อมสู่ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว


Soft skill แบบใดที่เหมาะสมต่อการทำงาน?
ไม่มีคำว่า ถูก หรือ ผิด สำหรับทักษะนี้ เพียงแต่อาจมีทักษะบางอย่างที่นายจ้างมองหาในผู้สมัครงาน ตัวอย่างเช่น
• การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ ทักษะนี้จะช่วยลดความเข้าใจผิดในการสื่อสาร ลดความขัดแย้ง อีกทั้งช่วยให้การทำงานราบรื่นยิ่งขึ้น


 ภาวะผู้นำถึงแม้คุณจะสามารถพัฒนาทักษะในการจัดการและความเป็นผู้นำขึ้นมาเองเมื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นในอนาคต แต่หากขณะนี้นายจ้างเล็งเห็นว่า คุณมีศักยภาพนี้อยู่แล้ว คุณอาจได้รับโอกาสในการทำงานที่สาคัญ


• การแก้ไขปัญหาหากคุณมีทักษะในการแก้ไขปัญหาซึ่งเป็นทักษะที่สาคัญมากอย่างหนึ่ง คุณมั่นใจได้ว่าจะไม่มีสิ่งใดขัดขวางคุณได้ เมื่อใดที่คุณเจออุปสรรค คุณจะสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆได้อย่างรวดเร็ว และยังเป็นการรักษาเวลาไว้เพื่อทำงานอื่นได้อีกด้วย



แห่งที่มาบทความ : Adecco Group Thailand
แหล่งที่มาของภาพ : www.s3executivepayments.com









โปรแกรมบริหารงานซ่อมบำรุง ที่ทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น



วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2559

การดูแลและบำรุงรักษาหม้อไอน้ำ ง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก

 ข้อแนะนำที่จะปรากฏต่อไปนี้ในบทความ จะเป็นแนวทางการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive maintenance) สำหรับหม้อไอน้ำที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้ 1. บทนำ     บทความนี้จะนำเสนอแนวทางการปฏิบัติงานสำหรับผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับหม้อไอน้ำ  อนึ่งผู้ที่จะทำงานเกี่ยวข้องกับหม้อไอน้ำจะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ประกอบด้วย กล่าวคือ
     * ได้รับการอบรมอย่างเหมาะสมสำหรับการปฏิบัติงานกับหม้อไอน้ำ
     * มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับหม้อไอน้ำเป็นอย่างดี
     * มีความคุ้นเคยกับอุปกรณ์ต่างๆ
     * มีความขยันหมั่นเพียรที่จะปฏิบัติงานให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี
   
2. การทำงานกับหม้อไอน้ำ
 2.1 การดูแลรักษาหม้อไอน้ำ

 1. มีความรู้ที่ดีพอสำหรับหม้อไอน้ำและอุปกรณ์ประกอบอื่นๆ ที่ทำงานสนับสนุนหม้อไอน้ำ ควรขอ manual, drawing และข้อมูลที่จำเป็นอื่นๆ จากผู้ผลิต หรือผู้ติดตั้ง เก็บข้อมูลเหล่านั้นไว้ในสถานที่ที่สามารถหยิบใช้ได้สะดวก ฝึกอบรมพนักงานให้มีความเข้าใจข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับหม้อไอน้ำ และควรฝึกให้เปิด manual ทุกครั้งที่เกิดปัญหาขึ้นระหว่างการปฏิบัติงานกับหม้อไอน้ำ
 2. บันทึกข้อมูลต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ และควรจำแนกอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องการการบำรุงรักษาออกมาเป็นหัวข้ออาจจะเขียนใน Index card หรือเก็บไว้ในฐานข้อมูลของคอมพิวเตอร์ หรือกล่าวง่ายๆ ก็คือควรทำประวัติเครื่องจักรอย่างละเอียดนั่นเอง
 3. ควรสร้างแผนการดูแล แผนการบำรุงรักษาในแต่ละช่วงเวลาตั้งแต่ การบำรุงรักษารายวัน, สัปดาห์, เดือน, ครึ่งปี และ 1 ปี ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง ควรจำแนกออกมาให้ชัดเจน
 4. ควรออกแบบ log sheet หรือ check sheet  ที่ใช้สำหรับบันทึกข้อมูลการตรวจสอบหม้อไอน้ำและอุปกรณ์ประกอบในแต่ละช่วงเวลา ตามที่ได้เขียนแผนเอาไว้แล้วว่าจะทำอะไรบ้าง อนึ่ง log sheet ที่จะออกแบบนี้จะต้องสื่อให้เห็นถึงข้อมูลที่สำคัญที่เกี่ยวกับการทำงานของหม้อไอน้ำ หลังจากออกแบบ และนำไปใช้จริงแล้ว ควรปรับปรุงเรื่อยๆ จนกระทั่งสามารถใช้งานได้ง่ายและสามารถเก็บบันทึกข้อมูลที่สำคัญๆ ได้ครบถ้วนตามที่ต้องการ
 5. ควรเขียน คู่มือการทำงาน (อาจจะเรียกว่า work instruction: WI) ต่างๆ ที่สำคัญสำหรับการทำงานที่เกี่ยวข้องกับหม้อไอน้ำ เช่นคู่มือการเริ่มทำงานสำหรับหม้อไอน้ำ เป็นต้น  คู่มือการทำงานที่ได้เขียนขึ้นทั้งหมด จะทำให้การทำงานเกี่ยวข้องกับหม้อไอน้ำของฝ่ายต่างๆ มีความเป็นมาตรฐานเดียวกัน และช่วยให้ผู้ที่ไม่มีประสบการณ์หรือไม่มีความรู้ในการทำงานกับหม้อไอน้ำสามารถอ่านทำความเข้าใจ เพื่อช่วยให้การปฏิบัติงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
 6. การทำความสะอาดพื้นที่โดยรอบหม้อไอน้ำ จะต้องทำอย่างสม่ำเสมอและอย่างเข้มแข็ง  เพื่อทำให้การซ่อมบำรุงและการบำรุงรักษาหม้อไอน้ำเป็นไปด้วยดีและอย่างมีคุณภาพ
 7. ทำความสะอาดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อย่าให้มีฝุ่นเกาะ เพราะจะส่งผลต่อการควบคุมการทำงานของอุปกรณ์นั้น ให้ทำงานผิดพลาดได้
 8. ต้องมั่นใจว่ามีอากาศสะอาดเพียงพอสำหรับห้องหม้อไอน้ำ เพราะอากาศเป็นส่วนประกอบหนึ่งของการเผาไหม้เชื้อเพลิงของหม้อไอน้ำ ตัวกรองอากาศต้องหมั่นดูแลทำความสะอาด ในฤดูฝนที่อากาศเย็น อาจจำเป็นต้องติดตั้งเครื่องให้ความร้อน  เพื่อทำให้อากาศมีอุณหภูมิเท่ากับอุณหภูมิห้องปกติ (ประมาณ 30 ?C)
 9. บันทึกข้อมูลการใช้เชื้อเพลิงอย่างรัดกุม ซึ่งข้อมูลนี้จะแสดงให้เห็นอาการผิดปกติของหม้อไอน้ำได้ เมื่ออัตราการใช้เชื้อเพลิงเปลี่ยนแปลงไปจากปกติ ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที
 10. ในขณะที่หม้อไอน้ำหยุดการทำงาน หรืออยู่ในช่วงที่ไม่ได้ใช้งาน ควรปฏิบัติตามเทคนิควิธีที่ปลอดภัยดังต่อไปนี้คือ ปิดการเชื่อมต่อของแหล่งจ่ายพลังงานต่างๆ ที่เข้าสู่หม้อไอน้ำ และปิดสวิตช์ต่างๆ ไปยังตำแหน่ง off หากมีหม้อไอน้ำมากกว่าหนึ่งลูกที่ต่ออยู่กับ header ให้ปิดวาล์วทางเข้าของไอน้ำจากหม้อไอน้ำลูกนั้นๆ อาจจะเพื่อทำการตรวจเช็คหรือเพื่อการซ่อมบำรุงก็ตาม ควรปิด damper ทางออกของแก๊สไอเสียทุกจุด และควรปฏิบัติตาม manual ของหม้อไอน้ำอย่างเคร่งครัด
2.2 ข้อมูลพื้นฐานที่ต้องบันทึก  
      ข้อมูลพื้นฐานของหม้อไอน้ำที่ควรทำการบันทึกเพื่อสะดวกต่อการเรียกหาใช้งาน และเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการออกแบบ Log sheet แบ่งออกกว้างๆ ได้ดังนี้
 1. Name plate ของหม้อไอน้ำและอุปกรณ์ทุกตัวที่ทำงานร่วมกับหม้อไอน้ำ รวมถึงข้อมูลดังต่อไปนี้คือ หมายเลขแสดงรุ่นของหม้อไอน้ำหรืออุปกรณ์ต่างๆ, serial number, ชนิดของเชื้อเพลิง, ความดันที่หม้อไอน้ำสามารถทำได้และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง หรือกล่าวง่ายๆ ว่าเป็นข้อมูลจำเพาะของหม้อไอน้ำนั่นเอง
 2.  ชื่อ ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์, โทรสารของผู้ผลิต จำหน่าย ติดตั้งหม้อไอน้ำ และของผู้จำหน่ายอุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งผู้จำหน่ายเชื้อเพลิง เพื่อสามารถจะสอบถามปัญหาต่างๆ ได้อย่างทันท่วงที

3. การดูแลรักษาหม้อไอน้ำ
3.1 การบำรุงรักษาทุกวัน 1. เช็คระดับน้ำใน Gauge glass หากพบว่าระดับน้ำไม่คงที่ สามารถจะเกิดจากปัญหาต่าง ๆ ได้ เช่น การปนเปื้อนของน้ำมัน, การทำงานเกินตัว (overload) , การทำงานผิดพลาดของระบบควบคุมการจ่ายน้ำ เป็นต้น นอกเหนือจากเช็คระดับน้ำแล้ว จะต้องมั่นใจว่ามีน้ำอยู่ใน gauge glass ทุกครั้งที่ทำการตรวจเช็ค
 2. ทำการ blow down หม้อไอน้ำ โดยจะต้องเป็นไปตามคำแนะนำของที่ปรึกษาทางด้านระบบน้ำป้อน ทุกครั้งที่ทำการ blow down จะต้องมีการตรวจสอบคุณภาพน้ำและส่วนประกอบทางเคมีด้วย
 3. ตรวจสอบการเผาไหม้ด้วยสายตา โดยการดูลักษณะของเปลวไฟ หากลักษณะของเปลวไฟเปลี่ยนแปลงไป แสดงว่าต้องมีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว จะต้องทำการสืบหาต้นเหตุของปัญหาต่อไป
 4. ปรับสภาพน้ำให้เป็นไปตามโปรแกรมที่ตั้งเอาไว้ และต้องมีการสุ่มตรวจเช็คทุกวัน
 5. บันทึกความดันหรืออุณหภูมิของน้ำในหม้อไอน้ำ (อาจจะบันทึกมากกว่าหนึ่งครั้งในหนึ่งวัน) เพราะค่าทั้งสองหากเปลี่ยนแปลงไปจากปกติหรือค่าที่ตั้งเอาไว้ แสดงว่าต้องเกิดความผิดปกติกับหม้อไอน้ำ
 6. บันทึกอุณหภูมิและความดันของน้ำป้อน หากอุณหภูมิและความดันมีค่าเปลี่ยนแปลงไป แสดงว่าเกิดความผิดพลาดขึ้นในกระบวนการทำงาน เช่น ปั๊มน้ำป้อน เป็นต้น
 7. บันทึกอุณหภูมิของปล่องไอเสีย หากอุณหภูมิของปล่องไอเสียเปลี่ยนแปลงไป แสดงว่าปล่องไอเสียมีเขม่าจับเยอะ, มีหินปูนเกาะภายในหม้อไอน้ำ, เกิดปัญหากับอิฐทนไฟหุ้มหม้อไอน้ำ เป็นต้น
 8. บันทึกอุณหภูมิและความดันของน้ำมันเชื้อเพลิง (หม้อไอน้ำที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง) การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและความดัน จะส่งผลต่อการเผาไหม้ โดยปัญหาอาจจะเกิดจาก oil heater หรือ oil regulator
 9. บันทึกความดันของ oil atomizer เพราะการเปลี่ยนแปลงของความดันจะส่งผลกระทบต่อการเผาไหม้ของหม้อไอน้ำ
 10. บันทึกค่าความดันของแก๊ส (หม้อไอน้ำที่ใช้แก๊สเป็นเชื้อเพลิง) การเปลี่ยนแปลงของความดัน จะส่งผลต่อการเผาไหม้ โดยปัญหาอาจจะเกิดจากระบบการจ่ายแก๊ส
 11. เช็คการทำงานโดยทั่วๆ ไปของหม้อไอน้ำและระบบการเผาไหม้ พยายามให้การทำงานอยู่ที่ระดับประสิทธิภาพสูงสุดอยู่เสมอ  หากมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปจากปกติ ต้องตอบให้ได้ว่าเพราะอะไร และจะส่งผลต่ออะไรบ้าง
 12. บันทึกอุณหภูมิของไอน้ำที่ผลิตได้และน้ำที่กลับสู่หม้อไอน้ำ เพื่อเป็นการเผ้าระวังการทำงานของหม้อไอน้ำ
 13. บันทึกปริมาณการเติมน้ำเข้าสู่หม้อไอน้ำ หากปริมาณการเติมน้ำมากเกินไป แสดงว่าเกิดปัญหาขึ้นภายในระบบ ต้องรีบหาต้นตอของปัญหาและรีบแก้ไข
 14. เช็คการทำงานของอุปกรณ์เสริมต่างๆ ให้เป็นไปตามที่ควรจะเป็น (หมายถึงว่าจะต้องทำงานได้ตาม Spec ที่อุปกรณ์นั้นๆ ถูกตั้งค่าเอาไว้) เพราะการทำงานที่ผิดปกติของอุปกรณ์เสริมอื่นๆ สามารถทำให้หม้อไอน้ำเกิดปัญหาขึ้นได้
3.2 การบำรุงรักษาทุกสัปดาห์
 1. ตรวจสอบว่าวาล์วของท่อจ่ายเชื้อเพลิงแน่นสนิทดีหรือไม่ ตรวจสอบเพื่อความมั่นใจว่าหากหม้อไอน้ำหยุดการใช้งานจะไม่มีเชื้อเพลิงรั่วไหลจากวาล์วได้
 2. ตรวจสอบรอยต่อ หรือ หน้าแปลนที่ยึดท่อ ต่างๆ ให้มั่นใจได้ว่าสกรูขันแน่นสนิทดี ไม่มีการรั่วไหลของเชื้อเพลิงหรืออากาศออกมาตามหน้าแปลนเหล่านั้น
 3. ตรวจสอบการทำงานของไฟส่องสว่างฉุกเฉินและสัญญาณเตือน ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นในห้องหม้อไอน้ำ ว่ายังทำงานปกติดีอยู่หรือไม่  ตรวจสอบไฟสัญญาณทุกหลอดและสัญญาณเตือนอื่นๆ ที่จะต้องทำงานสัมพันธ์กับหม้อไอน้ำ ว่ายังทำงานปกติดีอยู่หรือไม่
 4. ตรวจสอบการทำงานของอุปกรณ์ควบคุมว่ายังทำงานตามค่า set point ที่ได้ตั้งเอาไว้หรือไม่ และควรทวนสอบการทำงานของเกจวัดความดันและอุณหภูมิของหม้อไอน้ำว่ายังแสดงค่าที่ถูกต้องอยู่หรือไม่
 5. ตรวจสอบอุปกรณ์ทางด้านความปลอดภัยและ Interlock เพื่อความแน่ใจได้ว่าหากเกิดเหตุผิดปกติกับหม้อไอน้ำ อุปกรณ์ทางด้านความปลอดภัยและ interlock จะยังทำงานได้ตามปกติ
 6. ตรวจสอบการทำงานของอุปกรณ์ควบคุมระดับน้ำ
 7. ตรวจสอบการรั่ว, เสียงดัง, การสั่นสะเทือน และ การทำงานอื่นๆ ที่ผิดไปจากปกติ เป็นต้น เนื่องจากหากทำการตรวจสอบเป็นประจำแล้วจะทราบได้ทันทีว่าหม้อไอน้ำทำงานผิดปกติ ซึ่งจะได้รีบดำเนินการแก้ไขต่อไป ก่อนที่จะลุกลามเป็นปัญหาใหญ่โต
 8. ตรวจสอบการทำงานของมอเตอร์ขับทุกตัวที่ทำงานเกี่ยวข้องกับหม้อไอน้ำ เช่น ฟังเสียง  ตรวจเช็คอุณหภูมิของมอเตอร์  ดูการสั่นสะเทือน หากผิดปกติจะต้องรีบดำเนินการแก้ไข
 9. ตรวจสอบระดับของน้ำมันหล่อลื่นของอุปกรณ์ทุกตัวตามที่คู่มือกำหนดเอาไว้ ว่ายังมีปริมาณที่เพียงพอสำหรับการใช้งานหรือไม่
 10. ตรวจสอบ gauge glass เพื่อให้มั่นใจได้ว่าไม่มีรอยแตกร้าวขึ้น และต้องไม่มีรอยรั่วโดยรอบ
3.3 การบำรุงรักษาทุกเดือน
 1. ตรวจสอบการทำงานของ burner โดยดูจากลักษณะของเปลวไฟที่เผาไหม้ และอื่นๆ ตามที่คู่มือระบุ
 2. วิเคราะห์การเผาไหม้ โดยทำการสุ่มวิเคราะห์จากแก๊สไอเสีย และจะต้องทำการเปรียบเทียบผลการวิเคราะห์กับเดือนที่ผ่านมา ว่าผลเป็นอย่างไร การเผาไหม้ปกติดี เหมือนเดิม หรือไม่ปกติ จะได้รีบดำเนินการหาสาเหตุและแก้ไขต่อไป
 3. ตรวจสอบท่อไอเสีย ไม่ให้มีรอยรั่ว มิฉะนั้นจะมีแก๊สไอเสียรั่วไหลเข้ามาภายในห้องหม้อไอน้ำได้
 4. ตรวจสอบจุดที่ร้อนผิดปกติ  บริเวณเปลือกหม้อไอน้ำโดยรอบ ซึ่งหากเจอจุดที่ร้อนผิดปกติอาจจะเกิดจากผนังอิฐทนไฟภายในแตกร้าว เป็นต้น  จะต้องรีบดำเนินการหาสาเหตุและแก้ไข
 5. ตรวจสอบน้ำที่ใช้กับหม้อไอน้ำ ว่าได้ผ่านการปรับปรุงคุณภาพน้ำมาหรือยัง และคุณภาพน้ำมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
 6. ตรวจสอบว่ามีปริมาณอากาศที่เพียงพอสำหรับการเผาไหม้ โดยดูจากพื้นที่โดยรอบห้องหม้อไอน้ำที่จะต้องโปร่ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก
 7. ตรวจสอบตัวกรองต่างๆ ทำความสะอาดหรือหากจำเป็นก็เปลี่ยนเมื่อถึงอายุการใช้งาน
 8. ตรวจสอบระบบการจ่ายเชื้อเพลิง พร้อมอุปกรณ์ประกอบอื่นๆ เช่น ปั๊มจ่ายเชื้อเพลิง, เกจวัดต่างๆ เป็นต้น ว่ามีการทำงานผิดปกติไปบ้างหรือไม่
 9. ตรวจสอบสายพานขับอุปกรณ์ต่างๆ ว่ายังอยู่ในสภาพที่ยังใช้งานได้อยู่ และเช็คความตึงหย่อนของสายพานว่ายังสามารถใช้งานได้อยู่หรือไม่ หากไม่ตึง ต้องปรับตั้งให้กลับสู่สภาพพร้อมใช้งาน
 10. ตรวจสอบการหล่อลื่น bearing ของอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีการหมุนว่ามีปริมาณจารบีเพียงพอหรือไม่ bearing มีการทำงานผิดปกติหรือไม่ มีเสียงดังหรือไม่ หากมีต้องรีบดำเนินการแก้ไข เช่นเปลี่ยน bearing ใหม่
3.4 การบำรุงรักษาทุก 6 เดือน 
 1. ทำความสะอาดอุปกรณ์ตัดการทำงานของหม้อไอน้ำ ในกรณีที่มีระดับของน้ำในหม้อไอน้ำต่ำกว่าค่าที่กำหนดเอาไว้  ตรวจสอบว่ามีตะกอน หรือสิ่งสกปรกมาอุดตันในอุปกรณ์ดังกล่าวบ้างหรือไม่ ทำความสะอาดให้หมดและหาสาเหตุว่าความสกปรกเหล่านี้มาจากไหน และแก้ไขปรับปรุงต่อไป
 2. ตรวจสอบการทำงานของเครื่องอุ่นน้ำมันเชื้อเพลิง และตรวจเช็คว่ามีคราบตะกรันหรือสิ่งสกปรกเกาะติดอยู่ภายในเครื่องบ้างหรือไม่
 3. ตรวจซ่อมอิฐทนไฟหรือผนังด้านในของหม้อไอน้ำ ตรวจเช็คว่ามีอิฐหรือผนังหม้อไอน้ำส่วนใดเสียหายให้รีบดำเนินการซ่อม โดยจะต้องเป็นไปตามที่กำหนดเอาไว้ในคู่มือ
 4. ทำความสะอาดปั๊มน้ำมันและไส้กรองน้ำมัน เพื่อป้องกันไม่ให้มีสิ่งสกปรกอุดตัน อันจะส่งผลให้อัตราการไหลของน้ำมันไม่เป็นไปตามที่ต้องการ
 5. ทำความสะอาด Air cleaner
 6. ตรวจสอบ Alignment ของการหมุนของ coupling ของปั๊ม จะต้องไม่เบี่ยงเบนไปมากกว่าที่คู่มือกำหนดเอาไว้
 7. ปรับตั้งระบบการเผาไหม้ใหม่  ทั้งนี้ก็ต้องทำหลังจากได้มีการตรวจสอบปริมาณของแก๊สต่างๆ ที่มีเหลืออยู่ในไอเสีย โดยจะต้องปรับตั้งการเผาไหม้ให้ค่าอัตราส่วนของแก๊สต่างๆ เป็นไปตามที่คู่มือกำหนดเอาไว้ และควรบันทึกค่าปริมาณแก๊สต่างๆ ในไอเสียอยู่ทุกเดือน เพื่อเป็นข้อมูลเอาไว้เปรียบเทียบ
 8. ตรวจสอบสภาพของ Mercury switch ว่าอยู่ในสภาพที่แตกหักหรือมีรอยร้าวหรือไม่ และปริมาณของ mercury พร่องไปบ้างหรือไม่ จะต้องเติมให้ครบตามปริมาณที่ควรจะเป็น
3.5 การบำรุงรักษาทุกปี 1. ทำความสะอาดผนังด้านที่สัมผัสโดยตรงกับไฟ ด้วยแปรง หรืออุปกรณ์อื่นๆ ตามความเหมาะสม เพื่อขจัดคราบและเขม่าสกปรก หลังจากล้างทำความสะอาดแล้ว ให้ฉีดด้วยน้ำยาป้องกันการกัดกร่อน
 2. ตรวจสอบสภาพของปล่องไอเสีย พร้อมทำความสะอาด
 3. ตรวจสอบสภาพของถังบรรจุน้ำมัน และตรวจดูว่ามีน้ำอยู่ภายในถังหรือไม่ ควรเติมน้ำมันให้เต็มถังเสมอ เพื่อป้องกันการกลั่นตัวเป็นหยดน้ำภายในถัง
 4. ตรวจเช็ควาล์วต่างๆ ไม่ควรให้มีการรั่วซึมของของเหลวได้
 5. ตรวจเช็ค Gauge glass ว่าอยู่ในสภาพที่ยังใช้งานได้ หรือควรเปลี่ยนใหม่แล้ว
 6. ตรวจสอบการทำงานของ Safety valve หากไม่มั่นใจควรเปลี่ยนใหม่ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเสมอ
 7. หากเป็นกรณีหม้อไอน้ำที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง ควรตรวจสอบสภาพของปั๊มน้ำมัน ว่าอยู่ในสภาพการทำงานอย่างไร ควรตรวจซ่อมประจำปีปั๊มน้ำมันตามคู่มือที่ระบุเอาไว้
 8. ตรวจสอบสภาพและการทำงานของปั๊มน้ำป้อนหม้อไอน้ำ ให้อยู่ในสภาพที่ดีพร้อมใช้งาน
 9.ทำความสะอาด Condensate receiver และตรวจสอบสภาพโดยทั่วไปของ receiver ด้วย
 10. กวดขันน็อตยึดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ไฟฟ้าให้แน่น
สรุป การใช้งานหม้อไอน้ำให้อยู่ในสภาพที่ดีตลอดเวลา จำเป็นต้องมีมาตรการ ทั้งในด้านของการตรวจเช็ค ตรวจสภาพ การเปลี่ยน และการซ่อม ในแต่ละช่วงเวลาของการทำงานเช่น ทุกวัน ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน ทุก6เดือน และทุกปี  อนึ่งจากสิ่งที่ได้แนะนำไปนั้นเป็นเพียงแนวทางกว้างๆ อย่างไรก็ตาม ผู้อ่านควรอ้างอิงจากคู่มือของหม้อไอน้ำ ที่มีมาคู่กับการติดตั้งหม้อไอน้ำ ตามที่ผู้ผลิตได้แนะนำเอาไว้ เป็นแนวในทางปฏิบัติอย่างจริงจัง อันจะนำไปสู่การใช้งานที่ยืนนานของหม้อไอน้ำและใช้งานได้อย่างปลอดภัย
 
อ.บัญญัติ  นิยมวาส
คณะวิชาเครื่องกล  สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล  วิทยาเขตภาคใต้
MECHANICAL TECHNOLOGY JANUARY 2005










โปรแกรมบริหารงานซ่อมบำรุง ที่ทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น







วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2559

วงจรชีวิตของเครื่องจักรและอุปกรณ์


   เครื่องจักรและอุปกรณ์มีการเริ่มต้นและสิ้นสุดเช่นเดียวกับมนุษย์และสัตว์ที่มีการเกิดและตายซึ่งเรียกว่าวงจรชีวิต สำหรับวงจรชีวิตของเครื่องจักรและอุปกรณ์นิยมแบ่งออกเป็นช่วงหรือระยะตามขั้นตอนของการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นๆ สำหรับวงจรชีวิตของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่นำมาใช้ในการผลิตหรือในโรงงานอุตสาหกรรมนิยมที่จะแบ่งออกเป็น 7 ระยะ โดยมีรายละเอียดของระยะต่างๆและการนำเอาการใช้งานและการบำรุงรักษามาร่วมพิจารณาในแต่ละระยะดังต่อไปนี้คือ 

1. ความต้องการหรือความคิด เป็นระยะเริ่มต้นของเครื่องจักรและอุปกรณ์ โดยเริ่มจากมีความต้องการหรือความคิดที่จะสร้างเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่จะนำมาใช้ในการผลิต ซึ่งมักจะเป็นความต้องการหรือความคิดกว้างๆว่าจะสร้างเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อนำไปใช้ทำอะไรในกระบวนการผลิตสินค้าที่กำหนด จึงยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเอาการใช้งานและการบำรุงรักษามาร่วมพิจารณาในระยะนี้

2. การกำหนดรายละเอียด เป็นระยะที่นำเอาความต้องการหรือความคิดในระยะแรกมากำหนดรายละเอียดต่างๆที่เกี่ยวข้องทั้งในด้านเทคนิคและด้านอื่นๆ เช่น การกำหนดขนาดกำลังผลิต การกำหนดกรรมวิธีที่จะนำมาใช้ การกำหนดวงเงินค่าใช้จ่าย และการกำหนดแผนการดำเนินงาน เป็นต้น ซึ่งในระยะนี้ควรจะพิจารณาถึงการใช้งานและการบำรุงรักษาของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่จะสร้างขึ้นด้วยว่าจะต้องมีการควบคุมการใช้งานและการบำรุงรักษาอย่างไร การนำเอาการใช้งานและการบำรุงรักษามาพิจารณาตั้งแต่ระยะต้นๆของวงจรชีวิตของเครื่องจักรและอุปกรณ์นี้ จะทำให้ค่าใช้จ่ายวงจรชีวิต ( life cycle cost, LCC ) หรือค่าใช้จ่ายตลอดอายุการใช้งานของเครื่องจักรและอุปกรณ์ ต่ำกว่าการนำเอาการใช้งานและการบำรุงรักษามาพิจารณาในระยะหลังๆของวงจรชีวิต ทั้งนี้เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแก้ไขเครื่องจักรและอุปกรณ์ในช่วงระยะต่างๆของวงจรชีวิตจะไม่เท่ากัน เช่น การปรับปรุงแก้ไขในช่วงระยะของการกำหนดรายละเอียดหรือออกแบบจะถูกกว่าการปรับปรุงแก้ไขเมื่อได้สร้างเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นแล้ว เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบว่าเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีราคาถูกมักไม่ได้คำนึงถึงการใช้งานและการบำรุงรักษาในระยะต้นๆก็จะมีการชำรุดเสียหายมากเมื่อนำมาใช้งาน ซึ่งก็จะเป็นผลให้มีค่าใช้จ่ายวงจรชีวิตสูงกว่าเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีราคาแพงกว่าแต่ได้มีการนำเอาการใช้งานและการบำรุงรักษามาร่วมพิจารณาตั้งแต่ระยะต้นๆ

3. การออกแบบ เป็นระยะของการออกแบบชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อนำมาประกอบให้ได้เครื่องจักรและอุปกรณ์ตามรายละเอียดทั้งหมดที่ได้กำหนดไว้ในระยะที่ 2 ซึ่งจะรวมการพิจารณาถึงประเด็นต่างๆที่เกี่ยวข้องด้วย ได้แก่ กรรมวิธีการผลิต และแหล่งภายนอกที่จะจัดหาชิ้นส่วนแต่ละชิ้น เป็นต้น และในช่วงระยะของการออกแบบนี้จะต้องนำเอาการบำรุงรักษามาพิจารณาในรายละเอียดเพื่อเลือกรูปแบบของการบำรุงรักษาที่จะทำให้ค่าใช้จ่ายวงจรชีวิตต่ำที่สุด

4. การสร้างหรือการผลิต เป็นระยะของการเอาแบบของชิ้นส่วนต่างๆที่ได้ออกแบบไว้ในระยะที่ 3 มาผลิตหรือจัดหาจากแหล่งภายนอก แล้วนำเอามาประกอบเข้าเป็นเครื่องจักรและอุปกรณ์ รวมทั้งการนำเอาเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ได้ประกอบแล้วมาตรวจและทดสอบ ซึ่งในระยะนี้จะต้องมีการควบคุมคุณภาพของชิ้นส่วนที่ได้ผลิตหรือจัดหามาแต่ละชิ้น รวมถึงเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ได้ประกอบแล้วให้เป็นไปตามข้อกำหนดที่ได้ระบุไว้ในแบบ ซึ่งคุณภาพของเครื่องจักรและอุปกรณ์นี้จะมีผลโดยตรงต่อการใช้งานและการบำรุงรักษา

5. การติดตั้งและการทดลองเดินเครื่อง เป็นระยะของการนำเอาเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ได้สร้างหรือผลิตโดยผู้ผลิตเสร็จเรียบร้อยแล้วไปติดตั้งในสถานที่หรือโรงงานของผู้ประกอบการ และหลังจากการติดตั้งแล้วก็จะต้องมีการทดลองเดินเครื่องจักรและอุปกรณ์ดังกล่าวด้วยว่าสามารถทำงานได้ตามกำหนดหรือไม่ ซึ่งในช่วงนี้จะต้องใช้ความระมัดระวังเพื่อให้แน่ใจว่าการติดตั้งนั้นได้กระทำอย่างถูกต้องตามข้อกำหนดของผู้ผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์  และการทดลองเดินเครื่องก็จะต้องดำเนินการแก้ไขจนกว่าปัญหาที่เกิดขึ้น ( ถ้ามี ) หมดไป หรือจนกว่าจะแน่ใจว่าจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้น รวมทั้งจะต้องตรวจสอบความต้องการในการบำรุงรักษาที่แนะนำหรือกำหนดโดยผู้ผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์สามารถปฏิบัติตามได้ทุกประการ

6. การใช้งานและการบำรุงรักษา เป็นระยะของการเดินเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อทำการผลิตสินค้า และในเวลาเดียวกันก็จะต้องทำการบำรุงรักษาตามกำหนดอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นๆหมดอายุการใช้งาน ซึ่งอายุการใช้งานของเครื่องจักรและอุปกรณ์จะมีอยู่ 2 ลักษณะคือ อายุการใช้งานทางเทคนิค ( technical life ) หมายถึงอายุการใช้งานของเครื่องจักรและอุปกรณ์ตั้งแต่เริ่มการใช้งานจนกระทั่งสึกหรอหรือเสื่อมสภาพและไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไปได้อีก และอายุการใช้งานที่ประหยัดที่สุด ( economic life ) หมายถึงอายุการใช้งานที่เครื่องจักรและอุปกรณ์สามารถทำงานได้โดยมีค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมดถูกที่สุด โดยทั่วไปแล้วเมื่อเครื่องจักรและอุปกรณ์ครบอายุการใช้งานที่ประหยัดที่สุด เครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นมักยังคงอยู่ในสภาพที่สามารถทำงานได้ แต่ถ้าใช้ไปก็จะไม่คุ้มค่าใช้จ่าย

7. การเลิกใช้งาน เป็นระยะสุดท้ายของเครื่องจักรและอุปกรณ์เกิดขึ้นเมื่อเครื่องจักรและอุปกรณ์หมดสภาพการใช้งาน ซึ่งอาจเป็นการหมดสภาพการใช้งานทางเทคนิค คือมีการสึกหรอ เสื่อมสภาพ หรือชำรุดเสียหายจนใช้งานไม่ได้ หรือหมดสภาพทางเศรษฐศาสตร์ คือการใช้งานมาจนครบอายุการใช้งานที่ประหยัดที่สุด และถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์ประเภทเดิมอีกก็จะต้องมีการจัดหามาทดแทน โดยควรนำเอาปัญหาของการใช้งานและการบำรุงรักษาที่เกิดขึ้นกับเครื่องจักรและอุปกรณ์เดิมมาร่วมพิจารณาในการจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์ใหม่ที่จะนำมาใช้ทดแทนด้วย

     ในกรณีที่ผู้ประกอบการโรงงานไม่ได้เป็นผู้สร้างหรือผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์เอง อาจพิจารณาเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่จัดหามาใช้ในโรงงานโดยกำหนดให้ระยะเริ่มต้นของวงจรชีวิตเป็นระยะการกำหนดรายละเอียดข้อกำหนดของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ต้องการใช้ในกระบวนการผลิต ซึ่งก็ควรนำเอาการบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์มาร่วมพิจารณาตั้งแต่ระยะเริ่มต้นนี้เลย และถ้าเป็นไปได้ก็ควรที่จะระบุรายละเอียดของการบำรุงรักษาที่ต้องการไว้เป็นส่วนหนึ่งของรายละเอียดข้อกำหนด (Specifications) ของเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นๆด้วย เมื่อได้จัดทำรายละเอียดข้อกำหนดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะจะเป็นการจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์ตามรายละเอียอที่ได้กำหนดไว้ ซึ่งการจัดหามักจะสามารถเลือกเครื่องจักรและอุปกรณ์ประเภทและชนิดเดียวกันได้จากผู้ผลิตหลายราย ในการเลือกเครื่องจักรและอุปกรณ์จากผู้ผลิตรายใดนั้น      นิยมที่จะใช้การเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายวงจรชีวิตเป็นเครื่องมือในการตัดสินใจ     โดยค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาจะเป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้

     วงจรชีวิตดังกล่าว หลังจากได้ตกลงที่จะเลือกเครื่องจักรและอุปกรณ์จากผู้ผลิตรายใดแล้วก็จะเป็นระยะของการติดตั้งและทดลองเดินเครื่อง ซึ่งมักเป็นหน้าที่ความรับผิคชอบของผู้ผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นๆ  ในกรณีนี้ผู้ประกอบการโรงงานที่อยู่ในฐานะผู้ใช้ก็จะต้องควบคุมการติดตั้งและทดลองเดินเครื่องอย่างละเอียด รวมทั้งต้องให้แน่ใจว่าการทำงานของเครื่องจักรและอุปกรณ์เป็นไปตามข้อกำหนดทุกประการ ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้นภายหลังในขณะการใช้งาน เมื่อการติดตั้งและทดลองเดินเครื่องเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะเป็นการใช้งานและบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ดังกล่าวตลอดอายุการใช้งาน และเมื่อหมดอายุการใช้งานก็จะเป็นการเลิกการใช้งานในที่สุด
 
Reference
Implement Team










โปรแกรมบริหารงานซ่อมบำรุง ที่ทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น