วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2559

หลักการและแนวความคิดของการบำรุงรักษา

               ปัจจุบันเครื่องจักรและอุปกรณ์ประเภทและชนิดต่างๆเข้ามามีบทบาททั้งในด้านการผลิตสินค้าการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ และการอำนวยความสะดวกต่างๆในชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เพื่อสนองตอบความต้องการที่จะให้ได้สินค้าและสิ่งก่อสร้างต่างๆที่มีคุณภาพดี สะดวกและรวดเร็วในการผลิตและการก่อสร้าง รวมทั้งการทำงานแทนมนุษย์ที่สะดวกและรวดเร็วเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังมักต้องสนองตอบความต้องการในการลดค่าใช้จ่ายในการผลิตและการก่อสร้างลงให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้อีกด้วย และความต้องการดังกล่าวเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพตลอดมาซึ่งจะเห็นได้จากที่มีการพัฒนาเครื่องจักรและอุปกรณ์รูปแบบเดิมให้ดีขึ้นและมีการพัฒนาเครื่องจักรและอุปกรณ์ใหม่ๆออกมาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการผลิตได้มีการนำเอาเครื่องจักรและอุปกรณ์อัตโนมัติรวมถึงหุ่นยนต์อุตสาหกรรมที่สามารถทำงานตามโปรแกรมที่กำหนดไว้ล่วงหน้าได้มาใช้มากขึ้น   การนำเอาเครื่องจักรและอุปกรณ์มาใช้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการผลิตนั้น มิได้มีเพียงข้อดีที่เครื่องจักรและอุปกรณ์ดังกล่าวสามารถทำงานตามความต้องการในการผลิตได้เท่านั้นแต่ในอีกด้านหนึ่งแสดงว่าการผลิตนั้นๆขึ้นอยู่กับเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่นำมาใช้ในการผลิตนั่นก็คือถ้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่นำมาใช้เกิดการชำรุดเสียหายก็จะทำให้การผลิตต้องหยุด หรือถ้าเครื่องจักรและอุปกรณ์เมื่อใช้งานไปแล้วเกิดการเสื่อมสภาพขึ้น สินค้าที่ผลิตออกมาก็จะไม่ได้คุณภาพตามที่กำหนดและความเร็วในการผลิตก็อาจลดลงไปด้วยนอกจากนี้เมื่อเครื่องจักรและอุปกรณ์เสื่อมสภาพก็จะทำให้ประสิทธิภาพของเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นๆลดลง เป็นผลให้มีการสิ้นเปลืองพลังงานเพิ่มมากขึ้น และหากเครื่องจักรและอุปกรณ์มีการใช้งานที่ไม่ถูกต้อง หรือออกแบบมาไม่ดีพอรวมทั้งไม่มีการดูแลรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมแล้วก็จะเกิดอันตรายต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องและทำให้เกิดมลภาวะในด้านต่างๆอีกด้วย ซึ่งประเด็นเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นข้อเสียของเครื่องจักรและอุปกรณ์เมื่อนำมาใช้ในการผลิต นอกเหนือไปจากการลงทุนในการจัดซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์และค่าใช้จ่ายในการใช้งานเครื่องจักรและอุปกรณ์เหล่านี้ในการผลิตที่จะต้องเสียอยู่แล้ว

              การปฏิบัติต่อเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อรักษาข้อดีไว้ และทำให้ข้อเสียที่จะเกิดขึ้นมีน้อยที่สุดนั้นก็คือ การใช้งาน (operation) และการบำรุงรักษา(maintenance)ที่ถูกต้องและเหมาะสมนั่นเองโดยการปฏิบัติต่อเครื่องจักรและอุปกรณ์ทั้งสองประการนี้จะต้องนำมาพิจารณาตั้งแต่ระยะเริ่มแรกของการสร้างเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นๆขึ้นมาหรือระยะต้นของวงจรชีวิต (life cycle)ของเครื่องจักรและอุปกรณ์ซึ่งมักจะเป็นระยะของการศึกษาความเหมาะสมและการออกแบบเบื้องต้น (ถ้าเป็นผู้ผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์มาใช้งานเอง )หรือระยะของการกำหนดรายละเอียด (specifications)ของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่จะจัดหามาใช้ในการผลิต ผลของการนำเอาประเด็นของการใช้งานและการบำรุงรักษามาพิจารณาตั้งแต่ระยะแรกของวงจรชีวิตนั้นก็จะทำให้ปัญหาของการใช้งานและการบำรุงรักษาที่จะต้องปฏิบัติต่อเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นๆเกิดขึ้นน้อยลงอย่างไรก็ตามการนำเอาเครื่องจักรและอุปกรณ์อัตโนมัติมาใช้ในการผลิตจะทำให้ความต้องการของการใช้งานทั้งปริมาณและความยุ่งยากน้อยลง แต่ในทางตรงกันข้ามความต้องการของการบำรุงรักษาทั้งปริมาณและความยุ่งยากซับซ้อนจะมีมากขึ้นนอกจากนี้ลักษณะของงานบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ยังขึ้นอยู่กับตัวแปรจำนวนมากซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องซึ่งกันและกันและมักมีลักษณะที่ไม่แน่นอนอีกด้วย ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีระบบการจัดการงานบำรุงรักษาที่ดีเพื่อให้มั่นใจได้ว่าการบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์จะเป็นไปอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

วงจรชีวิตของเครื่องจักรและอุปกรณ์

          เครื่องจักรและอุปกรณ์มีการเริ่มต้นและสิ้นสุดเช่นเดียวกับมนุษย์และสัตว์ที่มีการเกิดและตายซึ่งเรียกว่าวงจรชีวิต สำหรับวงจรชีวิตของเครื่องจักรและอุปกรณ์นิยมแบ่งออกเป็นช่วงหรือระยะตามขั้นตอนของการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นๆสำหรับวงจรชีวิตของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่นำมาใช้ในการผลิตหรือในโรงงานอุตสาหกรรมนิยมที่จะแบ่งออกเป็น 7 ระยะ โดยมีรายละเอียดของระยะต่างๆและการนำเอาการใช้งานและการบำรุงรักษามาร่วมพิจารณาในแต่ละระยะดังต่อไปนี้คือ 

1. ความต้องการหรือความคิด เป็นระยะเริ่มต้นของเครื่องจักรและอุปกรณ์ โดยเริ่มจากมีความต้องการหรือความคิดที่จะสร้างเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่จะนำมาใช้ในการผลิตซึ่งมักจะเป็นความต้องการหรือความคิดกว้างๆว่าจะสร้างเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อนำไปใช้ทำอะไรในกระบวนการผลิตสินค้าที่กำหนดจึงยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเอาการใช้งานและการบำรุงรักษามาร่วมพิจารณาในระยะนี้

2. การกำหนดรายละเอียด เป็นระยะที่นำเอาความต้องการหรือความคิดในระยะแรกมากำหนดรายละเอียดต่างๆที่เกี่ยวข้องทั้งในด้านเทคนิคและด้านอื่นๆ เช่น การกำหนดขนาดกำลังผลิต การกำหนดกรรมวิธีที่จะนำมาใช้ การกำหนดวงเงินค่าใช้จ่าย และการกำหนดแผนการดำเนินงาน เป็นต้น ซึ่งในระยะนี้ควรจะพิจารณาถึงการใช้งานและการบำรุงรักษาของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่จะสร้างขึ้นด้วยว่าจะต้องมีการควบคุมการใช้งานและการบำรุงรักษาอย่างไรการนำเอาการใช้งานและการบำรุงรักษามาพิจารณาตั้งแต่ระยะต้นๆของวงจรชีวิตของเครื่องจักรและอุปกรณ์นี้ จะทำให้ค่าใช้จ่ายวงจรชีวิต ( life cycle cost, LCC )หรือค่าใช้จ่ายตลอดอายุการใช้งานของเครื่องจักรและอุปกรณต่ำกว่าการนำเอาการใช้งานและการบำรุงรักษามาพิจารณาในระยะหลังๆของวงจรชีวิต ทั้งนี้เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแก้ไขเครื่องจักรและอุปกรณ์ในช่วงระยะต่างๆของวงจรชีวิตจะไม่เท่ากัน เช่น การปรับปรุงแก้ไขในช่วงระยะของการกำหนดรายละเอียดหรือออกแบบจะถูกกว่าการปรับปรุงแก้ไขเมื่อได้สร้างเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นแล้ว เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบว่าเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีราคาถูกมักไม่ได้คำนึงถึงการใช้งานและการบำรุงรักษาในระยะต้นๆก็จะมีการชำรุดเสียหายมากเมื่อนำมาใช้งาน ซึ่งก็จะเป็นผลให้มีค่าใช้จ่ายวงจรชีวิตสูงกว่าเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีราคาแพงกว่าแต่ได้มีการนำเอาการใช้งานและการบำรุงรักษามาร่วมพิจารณาตั้งแต่ระยะต้นๆ

3. การออกแบบ เป็นระยะของการออกแบบชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อนำมาประกอบให้ได้เครื่องจักรและอุปกรณ์ตามรายละเอียดทั้งหมดที่ได้กำหนดไว้ในระยะที่2ซึ่งจะรวมการพิจารณาถึงประเด็นต่างๆที่เกี่ยวข้องด้วย ได้แก่ กรรมวิธีการผลิต และแหล่งภายนอกที่จะจัดหาชิ้นส่วนแต่ละชิ้น เป็นต้น และในช่วงระยะของการออกแบบนี้จะต้องนำเอาการบำรุงรักษามาพิจารณาในรายละเอียดเพื่อเลือกรูปแบบของการบำรุงรักษาที่จะทำให้ค่าใช้จ่ายวงจรชีวิตต่ำที่สุด

4. การสร้างหรือการผลิต เป็นระยะของการเอาแบบของชิ้นส่วนต่างๆที่ได้ออกแบบไว้ในระยะที่ 3 มาผลิตหรือจัดหาจากแหล่งภายนอก แล้วนำเอามาประกอบเข้าเป็นเครื่องจักรและอุปกรณ์ รวมทั้งการนำเอาเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ได้ประกอบแล้วมาตรวจและทดสอบ ซึ่งในระยะนี้จะต้องมีการควบคุมคุณภาพของชิ้นส่วนที่ได้ผลิตหรือจัดหามาแต่ละชิ้น รวมถึงเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ได้ประกอบแล้วให้เป็นไปตามข้อกำหนดที่ได้ระบุไว้ในแบบ ซึ่งคุณภาพของเครื่องจักรและอุปกรณ์นี้จะมีผลโดยตรงต่อการใช้งานและการบำรุงรักษา

5. การติดตั้งและการทดลองเดินเครื่อง เป็นระยะของการนำเอาเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ได้สร้างหรือผลิตโดยผู้ผลิตเสร็จเรียบร้อยแล้วไปติดตั้งในสถานที่หรือโรงงานของผู้ประกอบการ และหลังจากการติดตั้งแล้วก็จะต้องมีการทดลองเดินเครื่องจักรและอุปกรณ์ดังกล่าวด้วยว่าสามารถทำงานได้ตามกำหนดหรือไม่ ซึ่งในช่วงนี้จะต้องใช้ความระมัดระวังเพื่อให้แน่ใจว่าการติดตั้ง
นั้นได้กระทำอย่างถูกต้องตามข้อกำหนดของผู้ผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์  และการทดลองเดินเครื่องก็จะต้องดำเนินการแก้ไขจนกว่าปัญหาที่เกิดขึ้น (ถ้ามี )หมดไป หรือจนกว่าจะแน่ใจว่าจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้น รวมทั้งจะต้องตรวจสอบความต้องการในการบำรุงรักษาที่แนะนำหรือกำหนดโดยผู้ผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์สามารถปฏิบัติตามได้ทุกประการ

6. การใช้งานและการบำรุงรักษา เป็นระยะของการเดินเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อทำการผลิตสินค้า และในเวลาเดียวกันก็จะต้องทำการบำรุงรักษาตามกำหนดอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นๆหมดอายุการใช้งาน ซึ่งอายุการใช้งานของเครื่องจักรและอุปกรณ์จะมีอยู่ 2 ลักษณะคือ อายุการใช้งานทางเทคนิค (technical life)หมายถึงอายุการใช้งานของเครื่องจักรและอุปกรณ์ตั้งแต่เริ่มการใช้งานจนกระทั่งสึกหรอหรือเสื่อมสภาพและไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไปได้อีก และอายุการใช้งานที่ประหยัดที่สุด ( economic life ) หมายถึงอายุการใช้งานที่เครื่องจักรและอุปกรณ์สามารถทำงานได้โดยมีค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมดถูกที่สุด โดยทั่วไปแล้วเมื่อเครื่องจักรและอุปกรณ์ครบอายุการใช้งานที่ประหยัดที่สุด เครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นมักยังคงอยู่ในสภาพที่สามารถทำงานได้ แต่ถ้าใช้ไปก็จะไม่คุ้มค่าใช้จ่าย

7. การเลิกใช้งาน เป็นระยะสุดท้ายของเครื่องจักรและอุปกรณ์เกิดขึ้นเมื่อเครื่องจักรและอุปกรณ์หมดสภาพการใช้งาน ซึ่งอาจเป็นการหมดสภาพการใช้งานทางเทคนิค คือมีการสึกหรอ เสื่อมสภาพ หรือชำรุดเสียหายจนใช้งานไม่ได้ หรือหมดสภาพทางเศรษฐศาสตร์ คือการใช้งานมาจนครบอายุการใช้งานที่ประหยัดที่สุด และถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์ประเภทเดิมอีกก็จะต้องมีการจัดหามาทดแทน โดยควรนำเอาปัญหาของการใช้งานและการบำรุงรักษาที่เกิดขึ้นกับเครื่องจักรและอุปกรณ์เดิมมาร่วมพิจารณาในการจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์ใหม่ที่จะนำมาใช้ทดแทนด้วย

         ในกรณีที่ผู้ประกอบการโรงงานไม่ได้เป็นผู้สร้างหรือผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์เอง อาจพิจารณาเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่จัดหามาใช้ในโรงงานโดยกำหนดให้ระยะเริ่มต้นของวงจรชีวิตเป็นระยะการกำหนดรายละเอียดข้อกำหนดของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ต้องการใช้ในกระบวนการผลิต ซึ่งก็ควรนำเอาการบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์มาร่วมพิจารณาตั้งแต่ระยะเริ่มต้นนี้เลยและถ้าเป็นไปได้ก็ควรที่จะระบุรายละเอียดของการบำรุงรักษาที่ต้องการไว้เป็นส่วนหนึ่งของรายละเอียดข้อกำหนด (Specifications) ของเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นๆด้วย เมื่อได้จัดทำรายละเอียดข้อกำหนดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะจะเป็นการจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์ตามรายละเอียดที่ได้กำหนดไว้ ซึ่งการจัดหามักจะสามารถเลือกเครื่องจักรและอุปกรณ์ประเภทและชนิดเดียวกันได้จากผู้ผลิตหลายราย ในการเลือกเครื่องจักรและอุปกรณ์จากผู้ผลิตรายใดนั้นนิยมที่จะใช้การเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายวงจรชีวิตเป็นเครื่องมือในการตัดสินใจ   โดยค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาจะเป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้วงจรชีวิตดังกล่าวหลังจากได้ตกลงที่จะเลือกเครื่องจักรและอุปกรณ์จากผู้ผลิตรายใดแล้วก็จะเป็นระยะของการติดตั้งและทดลองเดินเครื่อง ซึ่งมักเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นๆ  ในกรณีนี้ผู้ประกอบการโรงงานที่อยู่ในฐานะผู้ใช้ก็จะต้องควบคุมการติดตั้งและทดลองเดินเครื่องอย่างละเอียดรวมทั้งต้องให้แน่ใจว่าการทำงานของเครื่องจักรและอุปกรณ์เป็นไปตามข้อกำหนดทุกประการ ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้นภายหลังในขณะการใช้งาน เมื่อการติดตั้งและทดลองเดินเครื่องเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะเป็นการใช้งานและบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ดังกล่าวตลอดอายุการใช้งาน และเมื่อหมดอายุการใช้งานก็จะเป็นการเลิกการใช้งานในที่สุด





CMMS โปรแกรมบริหารงานซ่อมบำรุง ที่ทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2559

ระบบบริหารคลังอะไหล่ Invent Cloud


Invent Cloud เป็นระบบการบริหารและจัดการคลังพัสดุอะไหล่ (Stock Control System) ที่พัฒนาบน เทคโนโลยี Cloud Computing สามารถใช้งานผ่านระบบอินเตอร์เน็ตเดิมที่มีอยู่

• รองรับระบบ Multi-Stock และ Multi-Location พร้อมระบุสถานที่เก็บได้ชัดเจนเพื่อให้การบริหารเป็นไปอย่าง
รวดเร็ว
• สามารถใช้งานบนเครื่อง PC และ Smartphone
• สามารถแสดงการเคลื่อนไหวของพัสดุอะไหล่ (Stock Cade) ประวัติการสั่งซื้อ-จ่ายออก พร้อมแสดงค่าใช้จ่ายโดยละเอียด
• สามารถรายงานจำนวนพัสดุอะไหล่คงเหลือ และ แสดงจุดสั่งซื้อ (Re-order Point) จุดสูงสุด (Maximum Stock) และจุดต่ำสุด (Minimum Stock) แบบอัตโนมัติ

ฐานข้อมูล
 Invent Cloud สามารถเก็บรายละเอียดของอะไหล่ได้อย่างละเอียด อาทิ     
- รหัสอะไหล่
- ชื่ออะไหล่  (ไทยและอังกฤษ)
- รายละเอียดด้านเทคนิค
- แบบ รุ่น ขนาด
- ข้อมูลด้านเทคนิค
- ยี่ห้อ
- จุดสั่งซื้อ (Re-Order Point)
- จุดสูงสุด (Maximum Stock)
- จุดต่ำสุด  (Minimum Stock)
- รูปภาพ 
- ประวัติการเคลื่อนไหว (Stock Cade)

Invent Cloud รองรับการทำงาน.....
• ระบบการปรับยอด (Stock Adjustment) รองรับการตั้งค่าของอะไหล่ เมื่อจำนวนในคลังและจำนวนในโปรแกรมที่มีจำนวนและราคาไม่ตรงกัน
• ระบบรับเข้า (Stock Receive) รองรับการรับอะไหล่เข้าสโตร์ พร้อมการบันทึกจำนวน ราคาและผู้ขาย
• ระบบเบิกออก (Stock Issue) รองรับการเบิกออก พร้อมเก็บประวัติการเบิกของแต่ละแผนก รวมถึงค่าใช้จ่าย
• ระบบยืมและคืน (Stock Borrow & Return)  รองรับการยืม และการควบคุมการคืนอะไหล่

Invent Cloud ให้รายงาน.......

- รายงานแสดงการเคลื่อไหวของพัสดุอะไหล่ในแต่ละรายการ
- รายงานแสดงจำนวนคงเหลือ
- รายงานแสดงมูลค่า
- รายงานแสดงจุดควบคุมต่างๆและอัตโนมัติ
- รายงานการรับเข้าสูงสุด 10 อันดับแรกของพัสดุไหล่ ทั้งจำนวนและมูลค่า
- รายงานการเบิกออกสูงสุด 10 อันดับแรกของพัสดุอะไหล่ ทั้งจำนวนและมูลค่า
- รายงานการวิเคราะห์ทางด้านอะไหล่


มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับเรา.... กับการนำเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาองค์กร






CMMS โปรแกรมบริหารงานซ่อมบำรุง ที่ทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น


  

วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2559

วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559

ความสัมพันธ์ระหว่างการบำรุงรักษาและการบริหารการผลิต

                เมื่อเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆถูกติดตั้งในโรงงานและได้ทดลองเดินเครื่องเรียบร้อยแล้ว ก็ถือว่าพร้อมที่จะเดินเครื่องเพื่อทำการผลิตสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ตามที่ต้องการได้ และเพื่อที่จะให้การผลิตมีประสิทธิภาพที่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้จำเป็นจะต้องมีการบริหารการผลิตที่ถูกต้องและเหมาะสม รวมทั้งจะต้องมีการเพิ่มผลผลิตอย่างต่อเนื่องอีกด้วย  การผลิตหมายถึงการนำเอาปัจจัยที่ป้อนเข้า ( input ) มาผ่านกระบวนการต่างๆเพื่อแปรสภาพให้เป็นผลิตภัณฑ์หรือสินค้าและสิ่งที่ได้อื่นๆรวมกันเรียกว่าผลผลิต( output ) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้สินค้าที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากที่สุด ทันกับเวลาที่ต้องการ และมีต้นทุนในการผลิตที่ต่ำที่สุดนอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงพนักงานของสถานประกอบการหรือของโรงงานเองในด้านของความปลอดภัย ขวัญ และกำลังใจในการทำงาน และคำนึงถึงสังคมในด้านของผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและจรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจด้วยซึ่งเพื่อจะให้การผลิตบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลจึงต้องอาศัยหลักการบริหารเข้ามาช่วยจัดการการผลิตที่รวมกันเรียกว่าการบริหารการผลิต

                หลักการบริหารการผลิตโดยทั่วไปนิยมที่จะแยกพิจารณาปัจจัยที่ป้อนเข้าและองค์ประกอบของผลผลิตออกเป็นส่วนๆ ทั้งนี้เนื่องจากแต่ละส่วนของปัจจัยที่ป้อนเข้าและองค์ประกอบของผลผลิตจะมีวิธีการควบคุมหรือการบริหารจัดการที่แต่ต่างกัน โดยปัจจัยที่ป้อนเข้าประกอบด้วย

1. เงิน ( money) ประกอบด้วยเงินทุนซึ่งอาจเป็นทั้งเงินทุนของผู้ประกอบการเองและเงินกู้ที่นำมาใช้ในการสร้างโรงงานและจัดซื้อเครื่องจักร และเงินทุนหมุนเวียนที่จะนำมาใช้ในการดำเนินการผลิต ซึ่งปัจจัยที่นำเข้าในส่วนนี้จะต้องมีการจัดการด้านการเงินที่เหมาะสม

2. คน ( man ) ประกอบด้วยบุคลากรทุกด้านที่จำเป็นต้องใช้ในการดำเนินการผลิต ซึ่งอาจรวมถึงบุคลากรในด้านการตลาดและการบริการหลังการขายด้วย ( ถ้าดำเนินการเอง ) โดยจะต้องมีการจัดแบ่งงานที่เหมาะสม

3. เครื่องจักร ( machine ) ได้แก่เครื่องจักรและอุปกรณ์ทั้งที่ใช้ในการผลิตโดยตรงและใช้ในการอำนวยความสะดวกในการผลิต ซึ่งในการจัดการปัจจัยที่นำเข้าในส่วนนี้ก็คือการจัดการการใช้งานและการบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ทั้งหมดของโรงงาน

4. วัตถุดิบ ( material ) ประกอบด้วยวัตถุดิบที่จำเป็นที่ต้องใช้ในการผลิตออกมาเป็นสินค้า และวัสดุอื่นที่จำเป็นต้องใช้เมื่อทำการผลิต ซึ่งในการจัดการปัจจัยที่นำเข้าในส่วนนี้ก็คือการควบคุมวัสดุคงคลังและการจัดการในด้านการจัดซื้อ

            สำหรับองค์ประกอบของผลผลิตในปัจจุบันนิยมที่จะแยกออกเป็น 8 ประการ และจำแนกออกเป็น 3 กลุ่ม ซึ่งมีรายละเอียดคือ

1. องค์ประกอบสำหรับลูกค้ามี 4 ประการคือ
    * ผลิตภัณฑ์ ( product ) ที่เป็นไปตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งองค์ประกอบนี้ก็จะต้องมีวิธีการควบคุมที่เรียกว่าการ  ควบคุมการผลิต
    * คุณภาพ ( quality ) ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกมาจะต้องมีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งองค์ประกอบนี้ก็จะต้องมีการควบคุมที่เรียกว่าการควบคุมคุณภาพ
    * ต้นทุน ( cost ) เป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ใช้ในการผลิตซึ่งนิยมคิดเป็นค่าใช้จ่ายต่อหน่วยของผลิตภัณฑ์ องค์ประกอบส่วนนี้จะใช้วิธีการควบคุมที่เรียกว่าการควบคุมต้นทุน
    * การส่งมอบ ( delivery ) ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกมาจะต้องมีการส่งมอบให้ทันกับความต้องการของลูกค้าหรือต้องเป็นไปตามกำหนดการส่งมอบที่ได้ตกลงไว้กับลูกค้า วิธีการควบคุมองค์ประกอบส่วนนี้เรียกว่าการควบคุมการส่งมอบ

2. องค์ประกอบสำหรับพนักงานในโรงงานมี 2 ประการคือ
     * ความปลอดภัย ( safety ) คือการป้องกันและควบคุมไม่ให้เกิดอุบัติเหตุในการทำงานหรือที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน ได้แก่การจัดการสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดี และการจัดหารวมทั้งการกำหนดให้ใช้อุปกรณ์ป้องกันที่พอเพียง เป็นต้น ซึ่งวิธีการควบคุมองค์ประกอบส่วนนี้เรียกว่าการควบคุมความปลอดภัย
     * ขวัญและกำลังใจ ( morale ) เป็นสภาพทางจิตใจของพนักงานที่ส่งผลให้การทำงานมีประสิทธิภาพ ขวัญและกำลังใจในการทำงานนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ความมั่นคงขององค์การ ความก้าวหน้าในหน้าที่การงานผลตอบแทนสวัสดิการ และความสัมพันธ์ภายในองค์การ เป็นต้น ซึ่งการบริหารงานจะต้องมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี

3. องค์ประกอบสำหรับสังคมมี 2 ประการคือ
     * สิ่งแวดล้อม ( environment ) เป็นผลกระทบที่กระบวนการผลิตมีต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจำเป็นต้องมีการควบคุมไม่ให้เกิดผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมเกินกว่ามาตรฐานที่กำหนด และควรมีการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าที่สุด
     * จรรยาบรรณ ( ethics ) เป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจโดยไม่เอาเปรียบทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ลูกค้า พนักงาน ผู้ถือหุ้น คู่แข่ง และหน่วยราชการ เป็นต้น  โดยการดำเนินงานจะต้องยึดคุณธรรมเป็นสำคัญ ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องมีนโยบายต่อสังคมอย่างชัดเจน รวมทั้งจะต้องจะต้องมีการปฏิบัติตามนโยบายดังกล่าวอย่างจริงจัง

              ประสิทธิภาพในการผลิตหรืออัตราผลผลิตซึ่งจะเท่ากับผลผลิตที่ได้จริงเปรียบเทียบกับทรัพยากรหรือปัจจัยที่ป้อนเข้าที่ใช้ไปจริงหรือเท่ากับผลผลิตหารด้วยปัจจัยที่ป้อนเข้าก็จะเป็นตัวชี้ที่ใช้ในการวัดผลโดยรวมของความสามารถในการผลิต ดังนั้นในการเพิ่มอัตราผลผลิตหรือการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตจึงสามารถทำได้หลายลักษณะ ได้แก่ การลดปัจจัยที่ป้อนเข้าโดยพยายามรักษาผลผลิตไว้ในระดับเดิม การเพิ่มผลผลิตโดยพยายามรักษาปัจจัยที่ป้อนเข้าไว้ในระดับเดิม และการเพิ่มผลผลิตและการลดปัจจัยที่ป้อนเข้าในเวลาเดียวกัน ซึ่งการลดปัจจัยที่ป้อนเข้าก็ยังสามารถทำได้โดยการลดปัจจัยที่ป้อนเข้าเพียงองค์ประกอบตัวใดตัวหนึ่งหรือลดปัจจัยที่ป้อนเข้าหลายๆองค์ประกอบพร้อมกัน ในทำนองเดียวกันการเพิ่มผลผลิตก็สามารถที่จะเพิ่มเฉพาะองค์ประกอบตัวใดตัวหนึ่งหรือเพิ่มองค์ประกอบของผลผลิตหลายๆองค์ประกอบไปพร้อมๆ กัน

              เครื่องจักรและอุปกรณ์เป็นองค์ประกอบหนึ่งของปัจจัยที่ป้อนเข้าหรือทรัพยากรที่ใช้ในการผลิต ซึ่งก็จะมีผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพในการผลิตและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยส่วนนี้ก็คือการใช้งานและการบำรุงรักษาดังนั้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโดยองค์ประกอบของปัจจัยที่นำเข้าส่วนนี้จึงสามารถทำได้โดยการบริหารการใช้งานและการจัดการงานบำรุงรักษาที่มีประสิทธิภาพ เพื่อทำให้ปัจจัยที่นำเข้าในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักรและอุปกรณ์โดยรวมลดลง นั่นก็คือการทำให้เครื่องจักรและอุปกรณ์มีเวลาทำงานที่มีคุณค่า (Valuable operating time) หรือเวลาที่เครื่องจักรและอุปกรณ์สามารถทำการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพได้เต็มขีดความสามารถ มีค่าสูงสุดในช่วงเวลาที่กำหนด และมีค่าใช้จ่ายโดยรวมที่ต่ำที่สุดด้วย







CMMS โปรแกรมบริหารงานซ่อมบำรุง ที่ทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น

วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559

สถานการณ์ของการจัดการงานบำรุงรักษา

             การจัดการงานบำรุงรักษามักจะถูกพัฒนาพร้อมไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมอื่นๆ จึงทำให้ประเทศที่พัฒนาแล้วในด้านอุตสาหกรรมมีระบบการจัดการงานบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ในโรงงานอุตสาหกรรมที่ดีและมีประสิทธิภาพสูงกว่าระบบการจัดการงานบำรุงรักษาในประเทศที่กำลังพัฒนาด้านอุตสาหกรรมซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย

             อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่าระบบการจัดการงานบำรุงรักษาในประเทศอุตสาหกรรมเป็นระบบที่สมบูรณ์แล้ว ไม่มีปัญหา และสามารถนำเอามาใช้ได้เลย แต่ในข้อเท็จจริงจากการสำรวจ ศึกษา และประเมินสถานการณ์ของการจัดการงานบำรุงรักษาของโรงงานในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งถือว่าเป็นประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำเมื่อปี ค.ศ 1990 ( พ.ศ 2533 ) พบว่ามีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากที่ยังประสบปัญหาในด้านการจัดการงานบำรุงรักษาและจำเป็นต้องมีการปรับปรุงแก้ไข โดยให้เหตุผลว่าเนื่องจากงานบำรุงรักษาเครื่องจักรกลและอุปกรณ์ต่างๆในโรงงานอุตสาหกรรมมักจะถูกมองว่าเป็นงานหรือกิจกรรมในด้านลบ ซึ่งถือว่าเป็นงานที่เป็นอุปสรรคต่อการผลิตและเป็นงานที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายไปโดยไม่ได้ตัดสินว่าสมควรหรือไม่และมักจะไม่เห็นผลตอบแทนที่ชัดเจน นอกจากนี้ยังเข้าใจว่าการบำรุงรักษาเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ชำรุดเสียหายให้กลับสู่สภาพเดิมเท่านั้น

              ผลของการจัดการงานบำรุงรักษาที่ยังมีประสิทธิภาพไม่เพียงพอในประเทศสหรัฐอเมริกาดังกล่าวทำให้ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ถูกใช้ไปในแต่ละปีนั้น มีถึงหนึ่งในสามของค่าใช้จ่ายจำนวนดังกล่าวถูกจ่ายไปโดยไม่จำเป็น (ในปี ค.ศ 1990 ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ในโรงงานอุตสาหกรรมทั้งหมดของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ได้ประเมินไว้มีมูลค่าถึง 24 ล้านล้านบาท ซึ่งก็แสดงว่ามีค่าใช้จ่ายจำนวนถึง 8 ล้านล้านบาทถูกใช้ไปโดยไม่จำเป็นอันเป็นผลมาจากการบำรุงรักษาที่ไม่มีประสิทธิภาพ) ซึ่งสาเหตุของการสูญเสียดังกล่าวข้างต้นผู้สำรวจและศึกษาได้สรุปไว้คือ

1. ช่างซ่อมบำรุงของโรงงานทั้งหมดโดยเฉลี่ยลงมือทำงานบำรุงรักษาจริงเพียง 2-4 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้นในจำนวนชั่วโมงทำงานปกติ 8 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่าช่างซ่อมบำรุงส่วนใหญ่นั้นมิได้เกียจคร้านหรือพยายามหลีกเลี่ยงการปฏิบัติงาน แต่ในข้อเท็จจริงพบว่าช่างซ่อมบำรุงเหล่านี้มักขาดการสนับสนุนทรัพยากรที่ใช้ในการปฏิบัติงาน ( ได้แก่ เครื่องมือ อะไหล่ และวัสดุ ) อย่างเพียงพอ ซึ่งโดยทั่วไปเป็นปัญหาในด้านการจัดการ ซึ่งถ้าหากผู้บริหารให้ความสำคัญต่อการจัดทรัพยากรที่จำเป็นต้องใช้ในการบำรุงรักษาดังกล่าวมากขึ้นก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานมากขึ้นและก็จะสามารถประหยัดแรงงานไปได้ด้วย

2. หน่วยงานบำรุงรักษาของโรงงานที่ใช้นักวางแผนเพื่อทำการวางแผนงานบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ มีจำนวนเพียงหนึ่งในสามของหน่วยงานบำรุงรักษาของโรงงานทั้งหมด  ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่ายังมีโรงงานมากกว่าครึ่งหนึ่งของโรงงานทั้งหมดที่หน่วยงานบำรุงรักษาไม่มีการวางแผนงานบำรุงรักษาหรือมีการวางแผนแต่ไม่สามารถนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล แผนงานบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เหมาะสมจะช่วยลดการสูญเสียเนื่องจากการบำรุงรักษาได้มาก โดยจากการศึกษาเดียวกันนี้พบว่าการบำรุงรักษาที่ไม่มีแผนจะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากกว่าการบำรุงรักษาที่มีแผนถึง 5 เท่า

3. หน่วยงานบำรุงรักษาของโรงงานจำนวนมากกว่าครึ่งหนึ่งของโรงงานทั้งหมดยังไม่มีระบบใบสั่งงาน ( work order system ) หรือระบบใบสั่งงานที่มีอยู่ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ซึ่งระบบใบสั่งงานนี้ถือว่าเป็นตัวชี้สำคัญที่แสดงถึงสถานะของหน่วยงานบำรุงรักษาของแต่ละโรงงาน ถ้าไม่มีระบบใบสั่งงานหรือระบบใบสั่งงานที่มีอยู่ไม่มีประสิทธิภาพ หน่วยงานบำรุงรักษาของโรงงานนั้นๆก็จะไม่สามารถควบคุมงานบำรุงรักษาได้

4. การบริหารงานบำรุงรักษาของโรงงานทั้งหมดที่ใช้ระบบใบสั่งงานอยู่นั้น มีจำนวนโรงงานเพียงหนึ่งในสามของโรงงานจำนวนดังกล่าวเท่านั้นที่มีการติดตามผลของการดำเนินงานตามใบสั่งงานแต่ละใบ เพื่อให้ทราบถึง ความก้าวหน้า ปัญหา และอุปสรรคของงานบำรุงรักษาแต่ละงาน   และมีโรงงานจำนวนที่ใกล้เคียงกันกับกรณีข้างต้น คือหนึ่งในสามของโรงงานทั้งหมดที่มีระบบใบสั่งงานนั้น เมื่อปฏิบัติงานแล้วเสร็จได้มีการนำเอาตัวเลขของแรงงาน วัสดุ และอะไหล่ที่ใช้จริงมาเปรียบเทียบกับที่ได้ประเมินไว้ ซึ่งเป็นการติดตามและตรวจสอบผลการดำเนินงานบำรุงรักษาที่เป็นขั้นตอนสำคัญในการจัดการงานบำรุงรักษาให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

5. การบริหารงานบำรุงรักษาของโรงงานทั้งหมดที่มีระบบใบสั่งงานมีเพียงประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของโรงงานจำนวนดังกล่าวเท่านั้นที่มีการวิเคราะห์เหตุขัดข้องของการชำรุดเสียหายของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เกิดขึ้นส่วนที่เหลือโดยทั่วไปจะเป็นการเปลี่ยนชิ้นส่วนหรืออะไหล่ที่ชำรุดเสียหายเท่านั้น ซึ่งถ้าไม่มีการวิเคราะห์เหตุขัดข้อง แล้วทำการแก้ไขที่ต้นเหตุหรือที่สาเหตุราก ( root causes ) ก็มักเป็นผลให้การชำรุดเสียหายของเครื่องจักรและอุปกรณ์ในลักษณะเดิมเกิดซ้ำขึ้นอีก

6. การทำงานล่วงเวลาของช่างซ่อมบำรุงในการบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์มีถึงประมาณ 14 เปอร์เซ็นต์ของเวลาทำงานทั้งหมด ซึ่งจากการวิเคราะห์พบว่าตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าค่าที่ควรจะเป็นถึง 3 เท่าการดำเนินงานบำรุงรักษาที่มีการทำงานล่วงเวลาในสัดส่วนที่สูงแสดงให้เห็นว่าการบำรุงรักษาที่ต้องดำเนินงานโดยไม่มีแผนมีสัดส่วนที่สูงด้วย

7. โรงงานจำนวนประมาณเพียง 22 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนโรงงานทั้งหมดเท่านั้นที่ถือได้ว่ามีระบบการบำรุงรักษาป้องกัน ( preventive maintenance systems ) ที่ครบถ้วน เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ ซึ่งระบบการบำรุงรักษาป้องกันนี้เป็นระบบที่จำเป็นต้องมีในระบบการบริหารงานบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ของโรงงานทุกโรงงาน มิฉะนั้นแล้วการชำรุดเสียหายของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้หรือการหยุดเครื่องจักรและอุปกรณ์โดยไม่มีแผนก็จะสูง

8. การบำรุงรักษาป้องกันที่ดำเนินการโดยหน่วยงานบำรุงรักษาและต้องกระทำในขณะที่เครื่องจักรและอุปกรณ์หยุดทำงาน ซึ่งจำเป็นจะต้องมีการประสานงานระหว่างหน่วยงานบำรุงรักษาและหน่วยงานผลิตนั้น พบว่าส่วนใหญ่มักมีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการประสานงานดังกล่าวไม่มากก็น้อย ซึ่งก็จะส่งผลให้ประสิทธิภาพของการดำเนินงานบำรุงรักษาและการผลิตลดลง

9. โรงงานจำนวนมากมีการแก้ไขปัญหาการขาดวัสดุและอะไหล่ที่ใช้ในการบำรุงรักษา โดยการเก็บสำรองวัสดุและอะไหล่ไว้ในคลังพัสดุด้วยจำนวนที่มากเกินความจำเป็น ทำให้ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์สูงเกินไป ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อซื้อวัสดุและอะไหล่มาเก็บสำรองไว้จะมีค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาวัสดุและอะไหล่นั้นๆด้วย ซึ่งจากการศึกษาพบว่าค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาต่อปีจะสูงกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ของมูลค่าวัสดุและอะไหล่






CMMS โปรแกรมบริหารงานซ่อมบำรุง ที่ทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2559

การสูญเสียที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการบำรุงรักษาที่ล้มเหลว

ระบบการบริหารงานบำรุงรักษาที่ไม่ถูกต้องและขาดประสิทธิภาพก็จะนำไปสู่การบำรุงรักษาที่ล้มเหลว ซึ่งสามารถพิจารณาได้จากสถานการณ์ของการบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ในแต่ละโรงงาน ถ้าการชำรุดเสียหายของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เครื่องจักรและอุปกรณ์ต้องหยุดทำงานโดยไม่เป็นไปตามแผน หรืออีกนัยหนึ่งก็เปรียบเสมือนกับการ
ทำงานของพนักงานถูกควบคุมโดยเครื่องจักร
 การทำงานของพนักงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งพนักงานในหน่วยงานบำรุงรักษาจะเป็นการทำงานเชิงรับก็คือการรอให้เครื่องจักรและอุปกรณ์ชำรุดเสียหายแล้วจึงทำการซ่อมแซม ก็แสดงว่าระบบการบำรุงรักษาที่เป็นอยู่ยังไม่ถูกต้องและมีการสูญเสียเกิดขึ้นจากการบำรุงรักษาที่ล้มเหลวดังกล่าว

              การสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการบำรุงรักษาที่ล้มเหลวมิได้มีเฉพาะค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่สูงเกินกว่าความจำเป็นเท่านั้น แต่ยังมีการมีการสูญเสียอื่นอีกที่เกิดขึ้นจากการบำรุงรักษาที่ล้มเหลว ซึ่งการสูญเสียเหล่านี้มักจะถูกมองข้ามไปหรือไม่ได้คิดว่าเป็นการสูญเสียที่เกิดจาการบำรุงรักษา จึงมักเรียกว่าเป็นการสูญเสียที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการบำรุงรักษาที่ล้มเหลวและเปรียบเทียบส่วนที่ซ่อนอยู่นี้กับส่วนของภูเขาน้ำแข็งที่จมอยู่ในน้ำ ทั้งนี้เนื่องจากส่วนที่จมอยู่เป็นส่วนที่ใหญ่กว่าส่วนที่พ้นเหนือน้ำนั่นก็แสดงว่าการสูญเสียจากการบำรุงรักษาที่ซ่อนอยู่นั้นมีมากกว่าที่เห็นได้อย่างชัดเจนหลายเท่าตามที่ได้แสดงไว้ในรูปที่ 1.2 โดยรายละเอียดของการสูญเสียที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการบำรุงรักษาที่ล้มเหลวมีดังต่อไปนี้คือ

1. การสูญเสียคุณภาพของผลิตภัณฑ์ เมื่อเครื่องจักรและอุปกรณ์ขาดการบำรุงรักษาที่ถูกต้องและสม่ำเสมอ คุณภาพของ ผลิตภัณฑ์หรือสินค้าที่ผลิตออกมาจากเครื่องจักรนั้นๆมักจะเลว

2. การสูญเสียพลังงาน เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ขาดการบำรุงรักษาอย่างเหมาะสมโดยทั่วไปจะใช้พลังงานมากกว่าเครื่องจักรและอุปกรณ์ซึ่งมีการบำรุงรักษาที่ดี

3. เงินทุนในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ได้รับการบำรุงรักษาที่ไม่ดีมักจะชำรุดเสียหายบ่อย และการละเลยไม่แก้ไขข้อขัดข้องเล็กๆน้อยก็จะนำไปสู่การชำรุดเสียหายที่รุนแรง ซึ่งมักเป็นผลให้ต้องมีการสำรองวัสดุและอะไหล่ไว้ในคลังพัสดุเป็นจำนวนมากกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้ต้องใช้เงินทุนในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นทั้งค่าวัสดุและอะไหล่เองและค่าเก็บรักษาวัสดุและอะไหล่นั้นๆด้วย

4. การสูญเสียผลผลิต เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ขาดการบำรุงรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมมักมีการชำรุดเสียหายที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า ทำให้เครื่องจักรต้องหยุดโดยไม่มีแผน ซึ่งก็จะกระทบกระเทือนต่อการผลิต

5. การสูญเสียกำลังผลิต เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ขาดการบำรุงรักษาที่ถูกต้องและสม่ำเสมอมักจะมีการสึกหรอและเสื่อมสภาพที่เร็วกว่าปกติ และหากไม่มีการแก้ไขก็มักจะทำให้ขีดความสามารถของเครื่องจักรลดลง

6. สภาพแวดล้อมของการทำงาน พื้นฐานที่สำคัญของการบำรุงรักษาที่ดีประการหนึ่งก็คือความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของเครื่องจักรและโรงงาน ดังนั้นถ้าโรงงานขาดการบำรุงรักษาที่ดี สภาพแวดล้อมของโรงงานก็มักจะไม่ดีไปด้วย รวมถึงจะส่งผลในทางลบต่อความปลอดภัยในการทำงานอีกด้วย

7. การสูญเสียตลาด การบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ไม่ดีนอกจากจะทำให้กำลังผลิตของเครื่องจักรลดลงแล้ว ยังนำไปสู่การหยุดการผลิตโดยไม่ได้วางแผนไว้ก่อน ซึ่งทำให้เกิดการสูญเสียการผลิตที่ส่งผลให้ไม่สามารถส่งสินค้าให้ลูกค้าได้ทันเวลา ลูกค้าอาจเปลี่ยนไปซื้อจากผู้ผลิตรายอื่นทำให้สูญเสียตลาดไปได้

8. การลงทุนที่เพิ่มขึ้น การบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ไม่ดีจะทำให้อายุการใช้งานของเครื่องจักรและอุปกรณ์ลดลง เนื่องจากอัตราการเสื่อมสภาพของเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นๆจะเกิดขึ้นรวดเร็วกว่าปกติ เป็นผลให้การลงทุนในการซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ทดแทนในช่วงเวลาเดียวกันจะต้องเพิ่มขึ้น






โปรแกรมบริหารงานซ่อมบำรุง ที่ทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น