วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559

สถานการณ์ของการจัดการงานบำรุงรักษา

             การจัดการงานบำรุงรักษามักจะถูกพัฒนาพร้อมไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมอื่นๆ จึงทำให้ประเทศที่พัฒนาแล้วในด้านอุตสาหกรรมมีระบบการจัดการงานบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ในโรงงานอุตสาหกรรมที่ดีและมีประสิทธิภาพสูงกว่าระบบการจัดการงานบำรุงรักษาในประเทศที่กำลังพัฒนาด้านอุตสาหกรรมซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย

             อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่าระบบการจัดการงานบำรุงรักษาในประเทศอุตสาหกรรมเป็นระบบที่สมบูรณ์แล้ว ไม่มีปัญหา และสามารถนำเอามาใช้ได้เลย แต่ในข้อเท็จจริงจากการสำรวจ ศึกษา และประเมินสถานการณ์ของการจัดการงานบำรุงรักษาของโรงงานในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งถือว่าเป็นประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำเมื่อปี ค.ศ 1990 ( พ.ศ 2533 ) พบว่ามีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากที่ยังประสบปัญหาในด้านการจัดการงานบำรุงรักษาและจำเป็นต้องมีการปรับปรุงแก้ไข โดยให้เหตุผลว่าเนื่องจากงานบำรุงรักษาเครื่องจักรกลและอุปกรณ์ต่างๆในโรงงานอุตสาหกรรมมักจะถูกมองว่าเป็นงานหรือกิจกรรมในด้านลบ ซึ่งถือว่าเป็นงานที่เป็นอุปสรรคต่อการผลิตและเป็นงานที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายไปโดยไม่ได้ตัดสินว่าสมควรหรือไม่และมักจะไม่เห็นผลตอบแทนที่ชัดเจน นอกจากนี้ยังเข้าใจว่าการบำรุงรักษาเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ชำรุดเสียหายให้กลับสู่สภาพเดิมเท่านั้น

              ผลของการจัดการงานบำรุงรักษาที่ยังมีประสิทธิภาพไม่เพียงพอในประเทศสหรัฐอเมริกาดังกล่าวทำให้ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ถูกใช้ไปในแต่ละปีนั้น มีถึงหนึ่งในสามของค่าใช้จ่ายจำนวนดังกล่าวถูกจ่ายไปโดยไม่จำเป็น (ในปี ค.ศ 1990 ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ในโรงงานอุตสาหกรรมทั้งหมดของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ได้ประเมินไว้มีมูลค่าถึง 24 ล้านล้านบาท ซึ่งก็แสดงว่ามีค่าใช้จ่ายจำนวนถึง 8 ล้านล้านบาทถูกใช้ไปโดยไม่จำเป็นอันเป็นผลมาจากการบำรุงรักษาที่ไม่มีประสิทธิภาพ) ซึ่งสาเหตุของการสูญเสียดังกล่าวข้างต้นผู้สำรวจและศึกษาได้สรุปไว้คือ

1. ช่างซ่อมบำรุงของโรงงานทั้งหมดโดยเฉลี่ยลงมือทำงานบำรุงรักษาจริงเพียง 2-4 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้นในจำนวนชั่วโมงทำงานปกติ 8 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่าช่างซ่อมบำรุงส่วนใหญ่นั้นมิได้เกียจคร้านหรือพยายามหลีกเลี่ยงการปฏิบัติงาน แต่ในข้อเท็จจริงพบว่าช่างซ่อมบำรุงเหล่านี้มักขาดการสนับสนุนทรัพยากรที่ใช้ในการปฏิบัติงาน ( ได้แก่ เครื่องมือ อะไหล่ และวัสดุ ) อย่างเพียงพอ ซึ่งโดยทั่วไปเป็นปัญหาในด้านการจัดการ ซึ่งถ้าหากผู้บริหารให้ความสำคัญต่อการจัดทรัพยากรที่จำเป็นต้องใช้ในการบำรุงรักษาดังกล่าวมากขึ้นก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานมากขึ้นและก็จะสามารถประหยัดแรงงานไปได้ด้วย

2. หน่วยงานบำรุงรักษาของโรงงานที่ใช้นักวางแผนเพื่อทำการวางแผนงานบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ มีจำนวนเพียงหนึ่งในสามของหน่วยงานบำรุงรักษาของโรงงานทั้งหมด  ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่ายังมีโรงงานมากกว่าครึ่งหนึ่งของโรงงานทั้งหมดที่หน่วยงานบำรุงรักษาไม่มีการวางแผนงานบำรุงรักษาหรือมีการวางแผนแต่ไม่สามารถนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล แผนงานบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เหมาะสมจะช่วยลดการสูญเสียเนื่องจากการบำรุงรักษาได้มาก โดยจากการศึกษาเดียวกันนี้พบว่าการบำรุงรักษาที่ไม่มีแผนจะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากกว่าการบำรุงรักษาที่มีแผนถึง 5 เท่า

3. หน่วยงานบำรุงรักษาของโรงงานจำนวนมากกว่าครึ่งหนึ่งของโรงงานทั้งหมดยังไม่มีระบบใบสั่งงาน ( work order system ) หรือระบบใบสั่งงานที่มีอยู่ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ซึ่งระบบใบสั่งงานนี้ถือว่าเป็นตัวชี้สำคัญที่แสดงถึงสถานะของหน่วยงานบำรุงรักษาของแต่ละโรงงาน ถ้าไม่มีระบบใบสั่งงานหรือระบบใบสั่งงานที่มีอยู่ไม่มีประสิทธิภาพ หน่วยงานบำรุงรักษาของโรงงานนั้นๆก็จะไม่สามารถควบคุมงานบำรุงรักษาได้

4. การบริหารงานบำรุงรักษาของโรงงานทั้งหมดที่ใช้ระบบใบสั่งงานอยู่นั้น มีจำนวนโรงงานเพียงหนึ่งในสามของโรงงานจำนวนดังกล่าวเท่านั้นที่มีการติดตามผลของการดำเนินงานตามใบสั่งงานแต่ละใบ เพื่อให้ทราบถึง ความก้าวหน้า ปัญหา และอุปสรรคของงานบำรุงรักษาแต่ละงาน   และมีโรงงานจำนวนที่ใกล้เคียงกันกับกรณีข้างต้น คือหนึ่งในสามของโรงงานทั้งหมดที่มีระบบใบสั่งงานนั้น เมื่อปฏิบัติงานแล้วเสร็จได้มีการนำเอาตัวเลขของแรงงาน วัสดุ และอะไหล่ที่ใช้จริงมาเปรียบเทียบกับที่ได้ประเมินไว้ ซึ่งเป็นการติดตามและตรวจสอบผลการดำเนินงานบำรุงรักษาที่เป็นขั้นตอนสำคัญในการจัดการงานบำรุงรักษาให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

5. การบริหารงานบำรุงรักษาของโรงงานทั้งหมดที่มีระบบใบสั่งงานมีเพียงประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของโรงงานจำนวนดังกล่าวเท่านั้นที่มีการวิเคราะห์เหตุขัดข้องของการชำรุดเสียหายของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เกิดขึ้นส่วนที่เหลือโดยทั่วไปจะเป็นการเปลี่ยนชิ้นส่วนหรืออะไหล่ที่ชำรุดเสียหายเท่านั้น ซึ่งถ้าไม่มีการวิเคราะห์เหตุขัดข้อง แล้วทำการแก้ไขที่ต้นเหตุหรือที่สาเหตุราก ( root causes ) ก็มักเป็นผลให้การชำรุดเสียหายของเครื่องจักรและอุปกรณ์ในลักษณะเดิมเกิดซ้ำขึ้นอีก

6. การทำงานล่วงเวลาของช่างซ่อมบำรุงในการบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์มีถึงประมาณ 14 เปอร์เซ็นต์ของเวลาทำงานทั้งหมด ซึ่งจากการวิเคราะห์พบว่าตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าค่าที่ควรจะเป็นถึง 3 เท่าการดำเนินงานบำรุงรักษาที่มีการทำงานล่วงเวลาในสัดส่วนที่สูงแสดงให้เห็นว่าการบำรุงรักษาที่ต้องดำเนินงานโดยไม่มีแผนมีสัดส่วนที่สูงด้วย

7. โรงงานจำนวนประมาณเพียง 22 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนโรงงานทั้งหมดเท่านั้นที่ถือได้ว่ามีระบบการบำรุงรักษาป้องกัน ( preventive maintenance systems ) ที่ครบถ้วน เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ ซึ่งระบบการบำรุงรักษาป้องกันนี้เป็นระบบที่จำเป็นต้องมีในระบบการบริหารงานบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ของโรงงานทุกโรงงาน มิฉะนั้นแล้วการชำรุดเสียหายของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้หรือการหยุดเครื่องจักรและอุปกรณ์โดยไม่มีแผนก็จะสูง

8. การบำรุงรักษาป้องกันที่ดำเนินการโดยหน่วยงานบำรุงรักษาและต้องกระทำในขณะที่เครื่องจักรและอุปกรณ์หยุดทำงาน ซึ่งจำเป็นจะต้องมีการประสานงานระหว่างหน่วยงานบำรุงรักษาและหน่วยงานผลิตนั้น พบว่าส่วนใหญ่มักมีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการประสานงานดังกล่าวไม่มากก็น้อย ซึ่งก็จะส่งผลให้ประสิทธิภาพของการดำเนินงานบำรุงรักษาและการผลิตลดลง

9. โรงงานจำนวนมากมีการแก้ไขปัญหาการขาดวัสดุและอะไหล่ที่ใช้ในการบำรุงรักษา โดยการเก็บสำรองวัสดุและอะไหล่ไว้ในคลังพัสดุด้วยจำนวนที่มากเกินความจำเป็น ทำให้ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์สูงเกินไป ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อซื้อวัสดุและอะไหล่มาเก็บสำรองไว้จะมีค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาวัสดุและอะไหล่นั้นๆด้วย ซึ่งจากการศึกษาพบว่าค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาต่อปีจะสูงกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ของมูลค่าวัสดุและอะไหล่






CMMS โปรแกรมบริหารงานซ่อมบำรุง ที่ทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น