วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559

สถานการณ์ของการจัดการงานบำรุงรักษา

             การจัดการงานบำรุงรักษามักจะถูกพัฒนาพร้อมไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมอื่นๆ จึงทำให้ประเทศที่พัฒนาแล้วในด้านอุตสาหกรรมมีระบบการจัดการงานบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ในโรงงานอุตสาหกรรมที่ดีและมีประสิทธิภาพสูงกว่าระบบการจัดการงานบำรุงรักษาในประเทศที่กำลังพัฒนาด้านอุตสาหกรรมซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย

             อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่าระบบการจัดการงานบำรุงรักษาในประเทศอุตสาหกรรมเป็นระบบที่สมบูรณ์แล้ว ไม่มีปัญหา และสามารถนำเอามาใช้ได้เลย แต่ในข้อเท็จจริงจากการสำรวจ ศึกษา และประเมินสถานการณ์ของการจัดการงานบำรุงรักษาของโรงงานในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งถือว่าเป็นประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำเมื่อปี ค.ศ 1990 ( พ.ศ 2533 ) พบว่ามีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากที่ยังประสบปัญหาในด้านการจัดการงานบำรุงรักษาและจำเป็นต้องมีการปรับปรุงแก้ไข โดยให้เหตุผลว่าเนื่องจากงานบำรุงรักษาเครื่องจักรกลและอุปกรณ์ต่างๆในโรงงานอุตสาหกรรมมักจะถูกมองว่าเป็นงานหรือกิจกรรมในด้านลบ ซึ่งถือว่าเป็นงานที่เป็นอุปสรรคต่อการผลิตและเป็นงานที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายไปโดยไม่ได้ตัดสินว่าสมควรหรือไม่และมักจะไม่เห็นผลตอบแทนที่ชัดเจน นอกจากนี้ยังเข้าใจว่าการบำรุงรักษาเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ชำรุดเสียหายให้กลับสู่สภาพเดิมเท่านั้น

              ผลของการจัดการงานบำรุงรักษาที่ยังมีประสิทธิภาพไม่เพียงพอในประเทศสหรัฐอเมริกาดังกล่าวทำให้ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ถูกใช้ไปในแต่ละปีนั้น มีถึงหนึ่งในสามของค่าใช้จ่ายจำนวนดังกล่าวถูกจ่ายไปโดยไม่จำเป็น (ในปี ค.ศ 1990 ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ในโรงงานอุตสาหกรรมทั้งหมดของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ได้ประเมินไว้มีมูลค่าถึง 24 ล้านล้านบาท ซึ่งก็แสดงว่ามีค่าใช้จ่ายจำนวนถึง 8 ล้านล้านบาทถูกใช้ไปโดยไม่จำเป็นอันเป็นผลมาจากการบำรุงรักษาที่ไม่มีประสิทธิภาพ) ซึ่งสาเหตุของการสูญเสียดังกล่าวข้างต้นผู้สำรวจและศึกษาได้สรุปไว้คือ

1. ช่างซ่อมบำรุงของโรงงานทั้งหมดโดยเฉลี่ยลงมือทำงานบำรุงรักษาจริงเพียง 2-4 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้นในจำนวนชั่วโมงทำงานปกติ 8 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่าช่างซ่อมบำรุงส่วนใหญ่นั้นมิได้เกียจคร้านหรือพยายามหลีกเลี่ยงการปฏิบัติงาน แต่ในข้อเท็จจริงพบว่าช่างซ่อมบำรุงเหล่านี้มักขาดการสนับสนุนทรัพยากรที่ใช้ในการปฏิบัติงาน ( ได้แก่ เครื่องมือ อะไหล่ และวัสดุ ) อย่างเพียงพอ ซึ่งโดยทั่วไปเป็นปัญหาในด้านการจัดการ ซึ่งถ้าหากผู้บริหารให้ความสำคัญต่อการจัดทรัพยากรที่จำเป็นต้องใช้ในการบำรุงรักษาดังกล่าวมากขึ้นก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานมากขึ้นและก็จะสามารถประหยัดแรงงานไปได้ด้วย

2. หน่วยงานบำรุงรักษาของโรงงานที่ใช้นักวางแผนเพื่อทำการวางแผนงานบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ มีจำนวนเพียงหนึ่งในสามของหน่วยงานบำรุงรักษาของโรงงานทั้งหมด  ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่ายังมีโรงงานมากกว่าครึ่งหนึ่งของโรงงานทั้งหมดที่หน่วยงานบำรุงรักษาไม่มีการวางแผนงานบำรุงรักษาหรือมีการวางแผนแต่ไม่สามารถนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล แผนงานบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เหมาะสมจะช่วยลดการสูญเสียเนื่องจากการบำรุงรักษาได้มาก โดยจากการศึกษาเดียวกันนี้พบว่าการบำรุงรักษาที่ไม่มีแผนจะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากกว่าการบำรุงรักษาที่มีแผนถึง 5 เท่า

3. หน่วยงานบำรุงรักษาของโรงงานจำนวนมากกว่าครึ่งหนึ่งของโรงงานทั้งหมดยังไม่มีระบบใบสั่งงาน ( work order system ) หรือระบบใบสั่งงานที่มีอยู่ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ซึ่งระบบใบสั่งงานนี้ถือว่าเป็นตัวชี้สำคัญที่แสดงถึงสถานะของหน่วยงานบำรุงรักษาของแต่ละโรงงาน ถ้าไม่มีระบบใบสั่งงานหรือระบบใบสั่งงานที่มีอยู่ไม่มีประสิทธิภาพ หน่วยงานบำรุงรักษาของโรงงานนั้นๆก็จะไม่สามารถควบคุมงานบำรุงรักษาได้

4. การบริหารงานบำรุงรักษาของโรงงานทั้งหมดที่ใช้ระบบใบสั่งงานอยู่นั้น มีจำนวนโรงงานเพียงหนึ่งในสามของโรงงานจำนวนดังกล่าวเท่านั้นที่มีการติดตามผลของการดำเนินงานตามใบสั่งงานแต่ละใบ เพื่อให้ทราบถึง ความก้าวหน้า ปัญหา และอุปสรรคของงานบำรุงรักษาแต่ละงาน   และมีโรงงานจำนวนที่ใกล้เคียงกันกับกรณีข้างต้น คือหนึ่งในสามของโรงงานทั้งหมดที่มีระบบใบสั่งงานนั้น เมื่อปฏิบัติงานแล้วเสร็จได้มีการนำเอาตัวเลขของแรงงาน วัสดุ และอะไหล่ที่ใช้จริงมาเปรียบเทียบกับที่ได้ประเมินไว้ ซึ่งเป็นการติดตามและตรวจสอบผลการดำเนินงานบำรุงรักษาที่เป็นขั้นตอนสำคัญในการจัดการงานบำรุงรักษาให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

5. การบริหารงานบำรุงรักษาของโรงงานทั้งหมดที่มีระบบใบสั่งงานมีเพียงประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของโรงงานจำนวนดังกล่าวเท่านั้นที่มีการวิเคราะห์เหตุขัดข้องของการชำรุดเสียหายของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เกิดขึ้นส่วนที่เหลือโดยทั่วไปจะเป็นการเปลี่ยนชิ้นส่วนหรืออะไหล่ที่ชำรุดเสียหายเท่านั้น ซึ่งถ้าไม่มีการวิเคราะห์เหตุขัดข้อง แล้วทำการแก้ไขที่ต้นเหตุหรือที่สาเหตุราก ( root causes ) ก็มักเป็นผลให้การชำรุดเสียหายของเครื่องจักรและอุปกรณ์ในลักษณะเดิมเกิดซ้ำขึ้นอีก

6. การทำงานล่วงเวลาของช่างซ่อมบำรุงในการบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์มีถึงประมาณ 14 เปอร์เซ็นต์ของเวลาทำงานทั้งหมด ซึ่งจากการวิเคราะห์พบว่าตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าค่าที่ควรจะเป็นถึง 3 เท่าการดำเนินงานบำรุงรักษาที่มีการทำงานล่วงเวลาในสัดส่วนที่สูงแสดงให้เห็นว่าการบำรุงรักษาที่ต้องดำเนินงานโดยไม่มีแผนมีสัดส่วนที่สูงด้วย

7. โรงงานจำนวนประมาณเพียง 22 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนโรงงานทั้งหมดเท่านั้นที่ถือได้ว่ามีระบบการบำรุงรักษาป้องกัน ( preventive maintenance systems ) ที่ครบถ้วน เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ ซึ่งระบบการบำรุงรักษาป้องกันนี้เป็นระบบที่จำเป็นต้องมีในระบบการบริหารงานบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ของโรงงานทุกโรงงาน มิฉะนั้นแล้วการชำรุดเสียหายของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้หรือการหยุดเครื่องจักรและอุปกรณ์โดยไม่มีแผนก็จะสูง

8. การบำรุงรักษาป้องกันที่ดำเนินการโดยหน่วยงานบำรุงรักษาและต้องกระทำในขณะที่เครื่องจักรและอุปกรณ์หยุดทำงาน ซึ่งจำเป็นจะต้องมีการประสานงานระหว่างหน่วยงานบำรุงรักษาและหน่วยงานผลิตนั้น พบว่าส่วนใหญ่มักมีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการประสานงานดังกล่าวไม่มากก็น้อย ซึ่งก็จะส่งผลให้ประสิทธิภาพของการดำเนินงานบำรุงรักษาและการผลิตลดลง

9. โรงงานจำนวนมากมีการแก้ไขปัญหาการขาดวัสดุและอะไหล่ที่ใช้ในการบำรุงรักษา โดยการเก็บสำรองวัสดุและอะไหล่ไว้ในคลังพัสดุด้วยจำนวนที่มากเกินความจำเป็น ทำให้ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์สูงเกินไป ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อซื้อวัสดุและอะไหล่มาเก็บสำรองไว้จะมีค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาวัสดุและอะไหล่นั้นๆด้วย ซึ่งจากการศึกษาพบว่าค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาต่อปีจะสูงกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ของมูลค่าวัสดุและอะไหล่






CMMS โปรแกรมบริหารงานซ่อมบำรุง ที่ทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2559

การสูญเสียที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการบำรุงรักษาที่ล้มเหลว

ระบบการบริหารงานบำรุงรักษาที่ไม่ถูกต้องและขาดประสิทธิภาพก็จะนำไปสู่การบำรุงรักษาที่ล้มเหลว ซึ่งสามารถพิจารณาได้จากสถานการณ์ของการบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ในแต่ละโรงงาน ถ้าการชำรุดเสียหายของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เครื่องจักรและอุปกรณ์ต้องหยุดทำงานโดยไม่เป็นไปตามแผน หรืออีกนัยหนึ่งก็เปรียบเสมือนกับการ
ทำงานของพนักงานถูกควบคุมโดยเครื่องจักร
 การทำงานของพนักงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งพนักงานในหน่วยงานบำรุงรักษาจะเป็นการทำงานเชิงรับก็คือการรอให้เครื่องจักรและอุปกรณ์ชำรุดเสียหายแล้วจึงทำการซ่อมแซม ก็แสดงว่าระบบการบำรุงรักษาที่เป็นอยู่ยังไม่ถูกต้องและมีการสูญเสียเกิดขึ้นจากการบำรุงรักษาที่ล้มเหลวดังกล่าว

              การสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการบำรุงรักษาที่ล้มเหลวมิได้มีเฉพาะค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่สูงเกินกว่าความจำเป็นเท่านั้น แต่ยังมีการมีการสูญเสียอื่นอีกที่เกิดขึ้นจากการบำรุงรักษาที่ล้มเหลว ซึ่งการสูญเสียเหล่านี้มักจะถูกมองข้ามไปหรือไม่ได้คิดว่าเป็นการสูญเสียที่เกิดจาการบำรุงรักษา จึงมักเรียกว่าเป็นการสูญเสียที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการบำรุงรักษาที่ล้มเหลวและเปรียบเทียบส่วนที่ซ่อนอยู่นี้กับส่วนของภูเขาน้ำแข็งที่จมอยู่ในน้ำ ทั้งนี้เนื่องจากส่วนที่จมอยู่เป็นส่วนที่ใหญ่กว่าส่วนที่พ้นเหนือน้ำนั่นก็แสดงว่าการสูญเสียจากการบำรุงรักษาที่ซ่อนอยู่นั้นมีมากกว่าที่เห็นได้อย่างชัดเจนหลายเท่าตามที่ได้แสดงไว้ในรูปที่ 1.2 โดยรายละเอียดของการสูญเสียที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการบำรุงรักษาที่ล้มเหลวมีดังต่อไปนี้คือ

1. การสูญเสียคุณภาพของผลิตภัณฑ์ เมื่อเครื่องจักรและอุปกรณ์ขาดการบำรุงรักษาที่ถูกต้องและสม่ำเสมอ คุณภาพของ ผลิตภัณฑ์หรือสินค้าที่ผลิตออกมาจากเครื่องจักรนั้นๆมักจะเลว

2. การสูญเสียพลังงาน เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ขาดการบำรุงรักษาอย่างเหมาะสมโดยทั่วไปจะใช้พลังงานมากกว่าเครื่องจักรและอุปกรณ์ซึ่งมีการบำรุงรักษาที่ดี

3. เงินทุนในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ได้รับการบำรุงรักษาที่ไม่ดีมักจะชำรุดเสียหายบ่อย และการละเลยไม่แก้ไขข้อขัดข้องเล็กๆน้อยก็จะนำไปสู่การชำรุดเสียหายที่รุนแรง ซึ่งมักเป็นผลให้ต้องมีการสำรองวัสดุและอะไหล่ไว้ในคลังพัสดุเป็นจำนวนมากกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้ต้องใช้เงินทุนในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นทั้งค่าวัสดุและอะไหล่เองและค่าเก็บรักษาวัสดุและอะไหล่นั้นๆด้วย

4. การสูญเสียผลผลิต เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ขาดการบำรุงรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมมักมีการชำรุดเสียหายที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า ทำให้เครื่องจักรต้องหยุดโดยไม่มีแผน ซึ่งก็จะกระทบกระเทือนต่อการผลิต

5. การสูญเสียกำลังผลิต เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ขาดการบำรุงรักษาที่ถูกต้องและสม่ำเสมอมักจะมีการสึกหรอและเสื่อมสภาพที่เร็วกว่าปกติ และหากไม่มีการแก้ไขก็มักจะทำให้ขีดความสามารถของเครื่องจักรลดลง

6. สภาพแวดล้อมของการทำงาน พื้นฐานที่สำคัญของการบำรุงรักษาที่ดีประการหนึ่งก็คือความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของเครื่องจักรและโรงงาน ดังนั้นถ้าโรงงานขาดการบำรุงรักษาที่ดี สภาพแวดล้อมของโรงงานก็มักจะไม่ดีไปด้วย รวมถึงจะส่งผลในทางลบต่อความปลอดภัยในการทำงานอีกด้วย

7. การสูญเสียตลาด การบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ไม่ดีนอกจากจะทำให้กำลังผลิตของเครื่องจักรลดลงแล้ว ยังนำไปสู่การหยุดการผลิตโดยไม่ได้วางแผนไว้ก่อน ซึ่งทำให้เกิดการสูญเสียการผลิตที่ส่งผลให้ไม่สามารถส่งสินค้าให้ลูกค้าได้ทันเวลา ลูกค้าอาจเปลี่ยนไปซื้อจากผู้ผลิตรายอื่นทำให้สูญเสียตลาดไปได้

8. การลงทุนที่เพิ่มขึ้น การบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ไม่ดีจะทำให้อายุการใช้งานของเครื่องจักรและอุปกรณ์ลดลง เนื่องจากอัตราการเสื่อมสภาพของเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นๆจะเกิดขึ้นรวดเร็วกว่าปกติ เป็นผลให้การลงทุนในการซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ทดแทนในช่วงเวลาเดียวกันจะต้องเพิ่มขึ้น






โปรแกรมบริหารงานซ่อมบำรุง ที่ทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น

วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2559

แนวทางการจัดการเพื่อนำไปสู่การบำรุงรักษาที่ดี

                 การบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์หมายถึงการปฏิบัติทั้งหมดที่กระทำต่อเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อซ่อมแซมเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ชำรุดเสียหายให้กลับคืนสู่สภาพการใช้งานได้ดีตามกำหนด หรือรักษาให้เครื่องจักรและอุปกรณ์อยู่ในสภาพที่ดี หรือป้องกันมิให้เครื่องจักรและอุปกรณ์ชำรุดเสียหาย หรือปรับปรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์ให้แข็งแรงแลคงทนมากขึ้น ดูแลง่ายขึ้นหรือดูแลรักษาน้อยลง ซึ่งจากนิยามของการบำรุงรักษาดังกล่าวจะเห็นได้ว่าการจัดการงานบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นสามารถทำได้หลายรูปแบบ โดยรูปแบบของการจัดการงานบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับแต่ละโรงงานนั้นไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับประเภท ชนิด  และขนาดของเครื่องจักรและอุปกรณ์ผลิตภัณฑ์การตลาด บุคลากร การจัดองค์กร ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นโยบายของโรงงาน และปัจจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้อง แต่อย่างไรก็ตามแนวทางที่จะนำไปสู่การบำรุงรักษาที่ดีนั้นจะมีวิธีการจัดการไปในรูปแบบเดียวกัน
              การบำรุงรักษาที่ถูกต้องก็คือการบำรุงรักษาในรูปแบบที่เหมาะสมกับเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นๆ กระทำในเวลาที่เหมาะสมโดยช่างผู้ชำนาญ  และใช้อะไหล่และวัสดุที่ดีเพื่อหลีกเลี่ยงการชำรุดเสียหายที่จะต้องทำการซ่อมแซมเร่งด่วนหรือฉุกเฉิน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการสูญเสียการผลิตและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่สูงขึ้น
              แนวทางการจัดการเพื่อนำไปสู่การบำรุงรักษาที่ดีซึ่งเป็นที่ยอมรับกันในปัจจุบันนั้นจึงเป็นการหาวิธีการที่จะทำให้โรงงงานสามารถดำเนินการผลิตได้อย่างต่อเนื่องตามแผนการผลิต และผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้ต้องมีคุณภาพตามกำหนดตลอดเวลา จึงไม่มุ่งเน้นในการซ่อมแซมเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ชำรุดเสียหายให้กลับคืนสู่สภาพที่ใช้งานได้อย่างรวดเร็ว แต่จะเน้นไปในด้านการป้องกันไม่ให้เครื่องจักรและอุปกรณ์ชำรุดเสียหาย และรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องด้วยกำลังการผลิตเต็มขีดความสามารถและให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพตามกำหนดโดยเสียค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด
              การจัดการบำรุงรักษาตามแนวทางข้างต้นนี้ก็จะไม่รอจนกระทั่งเครื่องจักรและอุปกรณ์ชำรุดเสียหายแล้วจึงทำการซ่อมแซมให้แล้วเสร็จอย่างรวดเร็วที่สุด  แต่จะดำเนินการป้องกันไม่ให้เครื่องจักรและอุปกรณ์ชำรุดเสียหาย และการดำเนินงานบำรุงรักษาทั้งหมดควรจะต้องเป็นไปตามแผนที่วางไว้ล่วงหน้า ซึ่งถ้าดำเนินการบำรุงรักษาได้ตามแนวทางดังกล่าวก็ถือได้ว่าพนักงานสามารถที่จะควบคุมเครื่องจักรและอุปกรณ์ทั้งหมดของโรงงานให้ทำงานได้ตามที่กำหนด รวมทั้งสามารถกำหนดให้เครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อทำการบำรุงรักษาตามแผนที่วางไว้ได้ ไม่ใช่ปล่อยให้เครื่องจักรและอุปกรณ์ต้องหยุดโดยปราศจากการควบคุมหรือหยุดโดยไม่ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า ซึ่งในกรณีหลังนี้ถือว่าเครื่องจักรและอุปกรณ์ควบคุมการทำงานของพนักงาน และเป็นสถานการณ์ที่จะต้องพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดขึ้น

วัตถุประสงค์และเป้าหมายของการบำรุงรักษา
              หน้าที่หลักของการบำรุงรักษาก็คือการให้บริการต่อเครื่องจักรและอุปกรณ์ในการผลิตเพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไรของโรงงาน และเมื่อพิจารณาแนวทางของการจัดการเพื่อนำไปสู่การบำรุงรักษาที่ดีแล้ว ก็สามารถที่จะกำหนดวัตถุประสงค์ของการบำรุงรักษาได้คือ เพื่อให้สมรรถนะความพร้อมใช้งานของเครื่องจักรและอุปกรณ์ (availability performance) สูงสุดในสภาพการทำงานที่ให้กำลังผลิตสูงสุดและให้เครื่องจักรและอุปกรณ์มีอายุการใช้งานที่เหมาะสม โดยมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ นอกจากนี้ยังนิยมที่จะเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ของการบำรุงรักษาไว้อีกคือการให้สภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัยแก่พนักงาน ซึ่งจากหน้าที่และวัตถุประสงค์ของการบำรุงรักษาดังกล่าวสามารถนำมาพิจารณากำหนดความสัมพันธ์ที่เหมาะสมระหว่างหน่วยงานบำรุงรักษาและหน่วยงานผลิตได้คือ หน่วยงานผลิตจะทำหน้าที่เป็นเจ้าของเครื่องจักรและอุปกรณ์ และจะซื้อสมรรถนะความพร้อมใช้งานความมีประสิทธิภาพ และอายุการใช้งานที่ยาวนานของเครื่องจักรและอุปกรณ์จากหน่วยงานบำรุงรักษา






โปรแกรมบริหารงานซ่อมบำรุง ที่ทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น

วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2559

ปัญหาของการจัดการงานบำรุงรักษาและแนวทางในการแก้ไข

                 ปัญหาของการจัดการบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ของโรงงานอุตสาหกรรมที่สำคัญที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่กำลังพัฒนาก็คือระบบการจัดการงานบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ขาดประสิทธิภาพและมีการสูญเสียค่าใช้ในการบำรุงรักษาที่ไม่จำเป็นสูง ทั้งนี้ส่วนใหญ่เกิดจากการปล่อยปละละเลยต่อการปรับปรุงการจัดการงานบำรุงรักษาที่เป็นอยู่ ซึ่งเป็นผลมาจากแนวความคิดและทัศนคติที่มีต่อการบำรุงรักษาเครื่องจักรกลที่ผิดตามที่ได้อธิบายไว้แล้วคือการมองว่างานบำรุงรักษาเครื่องจักรกลและอุปกรณ์ต่างๆในโรงงานอุตสาหกรรมเป็นงานหรือกิจกรรมในด้านลบถือว่าเป็นงานที่เป็นอุปสรรคต่อการผลิต และเป็นงานที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายไปโดยไม่ได้ตัดสินว่าสมควรหรือไม่รวมทั้งมักจะไม่เห็นผลตอบแทนที่ชัดเจน นอกจากนี้ยังเข้าใจว่าการบำรุงรักษาเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ชำรุดเสียหายให้กลับสู่สภาพเดิมเท่านั้นการจัดการงานบำรุงรักษาจึงอยู่ในลักษณะของการตั้งรับและเป็นการดำเนินงานตามที่เครื่องจักรและอุปกรณ์จะกำหนดหรือการรอให้เครื่องจักรและอุปกรณ์ชำรุดเสียหายแล้วถึงจะทำการซ่อมแซมการจัดการงานบำรุงรักษาแบบนี้จะไม่สามารถประเมินผลของการดำเนินงานได้ เนื่องจากไม่มีการกำหนดนโยบาย วัตถุประสงค์ และเป้าหมายที่ชัดเจน ทำให้ไม่สามารถรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้น การแก้ไขและปรับปรุงการจัดการก็จะสามารถทำได้ในที่สุด

              การแก้ไขปัญหาของการจัดการงานบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องที่กระทำได้ค่อนข้างยากซึ่งจะเห็นได้จากสถานการณ์ของการบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ของโรงงานทั้งในประเทศอุตสาหกรรมและประเทศกำลังพัฒนาในด้านอุตสาหกรรมที่ยังมีการสูญเสียเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก สาเหตุที่สำคัญก็คือความลำบากในการเปลี่ยนแนวความคิดที่ผิดซึ่งมีต่อการบำรุงรักษาของผู้บริหารและพนักงานทั้งหมดของโรงงานดังนั้นการเริ่มต้นของการแก้ปัญหาของการจัดการงานบำรุงรักษาก็การยอมรับความจริงของผู้บริหารและพนักงานถึงแนวความคิดและทัศนคติที่มีต่อการบำรุงรักษาในทางที่ผิด แล้วถึงเรียนรู้แนวทางที่ถูกต้องเพื่อนำไปสู่การบำรุงรักษาที่ดี และรับรู้สิ่งตอบแทนที่จะได้รับจากการปรับปรุงการจัดการงานบำรุงรักษาทั้งในส่วนของโรงงานโดยรวมและในส่วนของพนักงานแต่ละคน

              ส่วนของวิธีการปรับปรุงการจัดการงานบำรุงรักษาที่จะนำไปสู่ความสำเร็จนั้นก็จะต้องเริ่มต้นจากพื้นฐานและความเข้าใจร่วมกันของพนักงานทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประกอบด้วย ตัวชี้วัดและเครื่องมือที่ใช้ รูปแบบของกิจกรรม กลยุทธ์ของการดำเนินงาน ขั้นตอนและทรัพยากรในการจัดการ และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง 






โปรแกรมบริหารงานซ่อมบำรุง ที่ทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2559

รูปแบบและกลยุทธ์ของการบำรุงรักษา


             การบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์หมายถึงการปฏิบัติทั้งหมดที่กระทำต่อเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นๆ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อซ่อมแซมเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ชำรุดเสียหายให้กลับคืนสู่ภาพการใช้งานได้ดีตามกำหนด หรือรักษาให้เครื่องจักรและอุปกรณ์อยู่ในสภาพที่ดี หรือป้องกันมิให้เครื่องจักรและอุปกรณ์ชำรุดเสียหาย หรือปรับปรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์ให้แข็งแรงและคงทนมากขึ้น ดูแลรักษาง่ายขึ้น หรือต้องดูแลรักษาน้อยลง ซึ่งจะเห็นได้ว่าการบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์สามารถทำได้หลายรูปแบบเพื่อให้เป็นไปตามที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น ดังนั้นเพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจเกี่ยวกับการบำรุงรักษา และป้องกันความสับสนที่จะเกิดขึ้น จึงนิยมจำแนกกิจกรรมของการบำรุงรักษาทั้งหมดออกเป็นรูปแบบหรือประเภทต่างๆ


              นอกจากนี้รูปแบบของการบำรุงรักษาที่เหมาะสมสำหรับชิ้นส่วนหรือชุดส่วนประกอบแต่ละส่วนของเครื่องจักรและอุปกรณ์แต่ละชนิดและแบบยังแตกต่างกัน รวมถึงการจัดการงานบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ทั้งหมดของโรงงานยังสามารถทำได้หลายลักษณะ ดังนั้นกลยุทธ์หรือวิธีการหลักที่จะนำไปสู่วัตถุประสงค์และเป้าหมายของการจัดการงานบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์จึงถือว่าเป็นพื้นฐานที่สำคัญต่อมาจากการทำความเข้าใจรูปแบบของการบำรุงรักษา ซึ่งจะต้องทำการศึกษาให้ถ่องแท้เสียก่อนที่จะไปพิจารณาขั้นตอนในการดำเนินงานบำรุงรักษา
ต่อไป


รูปแบบของการบำรุงรักษา
              รูปแบบหรือประเภทของการบำรุงรักษานิยมจำแนกตามลักษณะของงานบำรุงรักษาที่กระทำต่อเครื่องจักรกลและอุปกรณ์หรือตามผลที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับเครื่องจักรและอุปกรณ์ ซึ่งโดยทั่วไปจำแนกออกเป็น 3 กลุ่มตามที่แสดงในรูปที่ 4.1 คือ
              1. การบำรุงรักษาแก้ไข ( corrective maintenance ) หรือการบำรุงรักษาหลังเหตุขัดข้อง ( breakdown maintenance ) หรือการใช้งานจนเกิดเหตุขัดข้องหรือชำรุดเสียหายแล้วค่อยทำการซ่อม ( run-to-failure หรือ operate-to-breakdown maintenance )
 
รูปที่ 4.1 รูปแบบของการบำรุงรักษา 
              2. การบำรุงรักษาป้องกัน ( preventive maintenance ) เป็นการบำรุงรักษาที่กระทำต่อเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องจักรและอุปกรณ์เสื่อมสภาพหรือชำรุดเสียหาย หรือเพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องจักรและอุปกรณ์ยังอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ดี ซึ่งเป็นการดำเนินงานที่ทำเป็นประจำ ( routine maintenance ) และสามารถกำหนดแผนการดำเนินงานล่วงหน้าได้ ( scheduled maintenance )


              3. การบำรุงรักษาปรับปรุง ( improvement maintenance ) เป็นการบำรุงรักษาที่กระทำต่อเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อปรับปรุงให้เครื่องจักรและอุปกรณ์หรือชิ้นส่วนของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ชำรุดเสียหายมีความแข็งแรงคงทนมากขึ้นจนไม่เกิดการชำรุดเสียหายในลักษณะเดิมอีก หรือให้มีอายุการใช้งานยืนยาวมากขึ้น หรือเพื่อปรับปรุงให้เครื่องจักรและอุปกรณ์หรือชิ้นส่วนของเครื่องจักรและอุปกรณ์สามารถดูแลรักษาได้ง่ายขึ้นหรือให้มีการดูแลรักษาน้อยลง


การบำรุงรักษาแก้ไข
              แนวคิดและแนวทางในการดำเนินการบำรุงรักษาแก้ไขหรือการบำรุงรักษาหลังเหตุขัดข้องก็คือการปล่อยให้เครื่องจักรและอุปกรณ์ทำงานจนกระทั่งเกิดการชำรุดเสียหาย และจะทำการซ่อมแซมหรือเปลี่ยน ชิ้นส่วนหรือเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ที่ชำรุดเสียหายก็ต่อเมื่อเกิดปัญหาที่แน่ชัดขึ้นแล้ว เช่น การแตกหัก หรือการสึกหรอของชิ้นส่วนจนเครื่องจักรและอุปกรณ์ไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไป เป็นต้น สำหรับการบำรุงรักษาแก้ไขนี้ยังสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด ( ดูรูปที่ 4.2 )คือ การบำรุงรักษาแก้ไขชนิดที่ไม่มีแผน ( unplanned corrective maintenance )หมายถึงการบำรุงรักษาที่กระทำต่อเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีการชำรุดเสียหายโดยไม่มีการกำหนดไว้ล่วงหน้า และการบำรุงรักษาแก้ไขชนิดที่มีแผน ( planned corrective maintenance ) หมายถึงการบำรุงรักษาที่กระทำต่อเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีอาการหรือสิ่งบ่งบอกถึงการชำรุดเสียหายที่จะเกิดขึ้นแต่ยังสามารถใช้งานต่อไปได้อีกระยะหนึ่งที่เพียงพอในการวางแผนและเตรียมการบำรุงรักษา เพื่อทำการแก้ไขก่อนที่การชำรุดเสียหายจะเกิดขึ้นจนกระทั่งต้องหยุดเครื่องจักรและอุปกรณ์ดังกล่าว
              รูปที่ 4.2 ชนิดของการบำรุงรักษาแก้ไข
           ข้อได้เปรียบของการบำรุงรักษาแก้ไขชนิดที่ไม่มีแผนจะใช้ได้ดีกับเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่การหยุดของเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นๆไม่มีผลต่อการผลิต โดยการชำรุดเสียหายของชิ้นส่วนของเครื่องจักรและอุปกรณ์ไม่ทำให้ชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องอื่นชำรุดเสียหายไปด้วย และใช้กับเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีลักษณะของการชำรุดเสียหายที่เกิดขึ้นไม่แน่นอนหรือไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด รวมทั้งไม่มีเวลาเตือนหรืออาการที่บ่งบอกล่วงหน้าถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นด้วย

              ส่วนข้อเสียเปรียบของการบำรุงรักษาแก้ไขชนิดที่ไม่มีแผนก็คือ หน่วยงานบำรุงรักษาต้องปฏิบัติงานซ่อมแซมเครื่องจักรและอุปกรณ์โดยไม่รู้ล่วงหน้าว่าจะดำเนินงานซ่อมบำรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์ใดและอย่างไร จึงเปรียบเสมือนกับเครื่องจักรและอุปกรณ์เป็นตัวควบคุมการทำงานของหน่วยงานบำรุงรักษา และหากเป็นเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีผลโดยตรงต่อการผลิต และถ้าเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นมีการชำรุดเสียหายโดยไม่รู้ล่วงหน้าก็จะทำให้การผลิตต้องหยุดโดยไม่รู้ล่วงหน้าตามไปด้วย ซึ่งก็จะเป็นผลให้มีการสูญเสียรายได้จากการผลิต และในบางกรณีก็อาจมีการสูญเสียวัสดุและผลิตภัณฑ์ที่ยังค้างอยู่ในกระบวนการผลิตในขณะที่เครื่องจักรและอุปกรณ์ชำรุดเสียหายไปด้วย นอกจากนี้ความต้องการในการสำรองอะไหล่เพื่อเตรียมไว้ซ่อมแซมเครื่องจักรและอุปกรณ์มักจะสูงตามไปด้วย เนื่องจากเมื่อมีการชำรุดเสียหายเกิดขึ้นก็ต้องการที่จะดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งแนวโน้มของอะไหล่ที่สำรองไว้จะกลายเป็นอะไหล่ที่ไม่ได้ใช้งาน ( dead stock ) ในอนาคตก็มีมากขึ้นด้วย เนื่องจากเหตุผลเดียวกันข้างต้น

              เมื่อพิจารณาถึงแนวความคิด ข้อได้เปรียบ และข้อเสียเปรียบของการบำรุงรักษาแก้ไขชนิดที่ไม่มีแผนแล้ว จะเห็นว่าเป็นรูปแบบของการบำรุงรักษาที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ ควรนำไปใช้กับเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีข้อได้เปรียบและมีลักษณะเฉพาะที่ชัดเจนตามที่ได้อธิบายไว้แล้วข้างต้นเท่านั้น ซึ่งถ้านำไปใช้กับเครื่องจักรและอุปกรณ์ทั้งหมดของโรงงานแล้ว ก็จะทำให้ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาสูงทั้งค่าใช้จ่ายทางตรง ( ได้แก่ ค่าแรงงาน ค่าอะไหล่ ค่าวัสดุ และอื่นๆ ) และค่าใช้จ่ายทางอ้อม ( ได้แก่ ค่าสูญเสียรายได้จากการผลิต )  ส่วนพนักงานซ่อมบำรุงก็จะมีงานล้นมือ มีการทำงานล่วงเวลาเกือบตลอดเวลา ต้องเผชิญกับงานซ่อมเร่งด่วนแทบทุกวัน และอาจถึงขนาดที่ต้องทิ้งงานเร่งด่วนที่กำลังทำอยู่ไปทำงานที่เร่งด่วนมากกว่า  นอกจากนี้ยังพบว่าโรงงานที่ใช้หรือเน้นไปที่การบำรุงรักษาแก้ไขชนิดที่ไม่มีแผนเป็นหลักมักมีความพยายามที่จะลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาโดยการใช้อะไหล่ที่มีราคาถูก และการจ้างแรงงานที่ไม่มีประสบการณ์แต่ค่าจ้างถูก ซึ่งการดำเนินการในลักษณะดังกล่าวแทนที่จะได้ผลตามที่ต้องการ แต่กลับเป็นการซ้ำเติมปัญหาให้หนักขึ้นไปอีก

              สำหรับการบำรุงรักษาแก้ไขชนิดที่มีแผนนั้น จะดำเนินการได้ก็ต่อเมื่อเครื่องจักรและอุปกรณ์หรือชิ้นส่วนของเครื่องจักรและอุปกรณ์มีลักษณะของการชำรุดเสียหายที่มีเวลาเตือนหรืออาการที่บ่งบอกก่อนที่จะเกิดการชำรุดเสียหายจนไม่สามารถใช้งานได้ต่อไปหรือเกิดการชำรุดเสียหายที่จะทำให้ชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์อื่นชำรุดเสียหายไปด้วย และจำเป็นจะต้องมีการตรวจสอบสภาพของชิ้นส่วนหรือเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่คาดว่าจะมีการชำรุดเสียหายเป็นระยะๆเพื่อดูว่าชิ้นส่วนหรือเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นๆมีอาการหรือสิ่งบ่งบอกว่าได้เกิดการชำรุดเสียหายขึ้นแล้วหรือไม่ โดยการตรวจสอบสภาพดังกล่าวนี้ถือว่าเป็นการบำรุงรักษาอีกรูปแบบหนึ่งที่เรียกว่าการบำรุงรักษาป้องกันทางอ้อมซึ่งจะได้อธิบายในรายละเอียดต่อไปแต่เมื่อการตรวจสภาพพบว่ามีอาการหรือสิ่งบ่งบอกว่าได้เกิดการชำรุดเสียหายเกิดขึ้นแล้ว การปฏิบัติต่อเครื่องจักรเพื่อแก้ไขเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ชำรุดเสียหายให้กลับสู่สภาพการใช้งานได้ดีตามเดิมโดยมีการเตรียมความพร้อมในด้านบุคลากร อะไหล่ และเครื่องมือ ไว้ล่วงหน้า รวมทั้งมีการกำหนดเวลาที่จะทำการบำรุงรักษาที่จะไม่กระทบกระเทือนต่อการผลิตหรือให้มีผลกระทบน้อยที่สุดนั้น    ก็จะเรียกว่าการบำรุงรักษาแก้ไขชนิดที่มีแผน ซึ่งข้อได้เปรียบของการบำรุงรักษาแก้ไขชนิดที่มีแผนนี้ก็คือเวลาที่ใช้ในการซ่อมแซมก็จะลดลงเนื่องจากมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้า และการสูญเสียรายได้จากการผลิตก็จะลดลง หรืออาจจะไม่มีเลยก็เป็นไปได้หากมีการจัดจังหวะเวลาการซ่อมที่ไม่ให้กระทบกระเทือนต่อการผลิตเป็นผลให้ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์โดยรวมลดลง และถือได้ว่าหน่วยงานบำรุงรักษาเป็นผู้ควบคุมเครื่องจักรหรือสามารถให้เครื่องจักรหยุดทำงานได้ตามที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้า ไม่ได้ให้เครื่องจักรควบคุมหน่วยงานบำรุงรักษาหรือเครื่องจักรและอุปกรณ์จะชำรุดเสียหายเมื่อใดก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้ดังเช่นในกรณีของการบำรุงรักษาแก้ไขชนิดที่ไม่มีแผน นั่นก็คือเมื่อใดที่เครื่องจักรและอุปกรณ์ชำรุดเสียหายจนจำเป็นต้องหยุด หน่วยงานบำรุงรักษาก็จะต้องมาทำการซ่อมแซมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นวันและเวลาใดก็ตาม

การบำรุงรักษาป้องกัน
             แนวความคิดและแนวทางในการดำเนินการบำรุงรักษาป้องกันที่ปฏิบัติต่อเครื่องจักรและอุปกรณ์หรือชิ้นส่วนของเครื่องจักรและอุปกรณ์ ก็คือข้อขัดข้องที่จะนำไปสู่การชำรุดเสียหายของเครื่องจักรและอุปกรณ์สามารถที่จะป้องกันได้ จึงเป็นการดำเนินงานก่อนที่จะเกิดปัญหาหรือข้อขัดข้องกับเครื่องจักรและอุปกรณ์ และจะเป็นการดำเนินงานในขณะที่เครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นๆยังใช้งานได้ดีตามกำหนด การบำรุงรักษาป้องกันยังสามารถแบ่งตามผลที่จะเกิดขึ้นกับเครื่องจักรและอุปกรณ์ออกได้เป็น 2 ชนิด ( ดูรูปที่ 4.3 ) คือ การบำรุงรักษาป้องกันทางตรง ( direct preventive maintenance ) และการบำรุงรักษาป้องกันทางอ้อม ( indirect preventive maintenance ) 
 
 รูปที่ 4.3 ชนิดของการบำรุงรักษาป้องกัน

              การบำรุงรักษาป้องกันทางตรงก็คือกิจกรรมการบำรุงรักษาที่มีผลโดยตรงต่อเครื่องจักรและอุปกรณ์ ได้แก่ การปรับตั้ง การหล่อลื่น การทำความสะอาดและการเปลี่ยนชิ้นส่วน ซึ่งเป็นการดำเนินการตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแน่นอนโดยไม่คำนึงถึงสภาพที่เป็นอยู่ของเครื่องจักรและอุปกรณ์ในขณะที่ดำเนินการตัวอย่างเช่นในกรณีของการเปลี่ยนชิ้นส่วนหรือสารหล่อลื่น เมื่อครบกำหนดระยะเวลาก็จะทำการเปลี่ยนชิ้นส่วนหรือสารหล่อลื่นนั้นๆเลยโดยไม่คำนึงว่าชิ้นส่วนหรือสารหล่อลื่นนั้นยังอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ต่อไปอีกหรือไม่ ซึ่งช่วงระยะเวลาที่กำหนดให้ดำเนินการก็จะเป็นช่วงเวลาที่คาดว่าจะต้องดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องจักรและอุปกรณ์ชำรุดเสียหายหรือเพื่อเปลี่ยนก่อนที่ชิ้นส่วนหรือสารหล่อลื่นจะชำรุดเสียหายหรือเสื่อมสภาพ ดังนั้นจึงนิยมที่จะเรียกการบำรุงรักษาทางตรงนี้อีกชื่อหนึ่งว่าการบำรุงรักษาตามกำหนดเวลาที่แน่นอน ( fixed time maintenance ) สำหรับการกำหนดรายละเอียดของการบำรุงรักษาทางตรงหรือการบำรุงรักษาตามกำหนดเวลาแน่นอนนั้น ผู้ผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์จะเป็นผู้กำหนดจากมาตรฐานที่ใช้อ้างอิงต่างๆและประสบการณ์ของผู้ผลิตโดยส่วนใหญ่จะพิจารณาจากสภาวะการใช้งานและสภาพแวดล้อมทั่วไป ซึ่งผู้ใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นๆจำเป็นจะต้องนำเอารายละเอียดของการบำรุงรักษาตามกำหนดเวลาที่แน่นอนดังกล่าวมาพิจารณาปรับปรุงให้สอดคล้องสภาวะการใช้งานและสภาพแวดล้อมของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เป็นจริง ทั้งในส่วนของรายละเอียดของกิจกรรมและส่วนของช่วงระยะเวลาที่จะต้องดำเนินการ 

              การบำรุงรักษารูปแบบนี้จะเหมาะสมกับเครื่องจักรและอุปกรณ์รวมถึงชิ้นส่วนและสารหล่อลื่นของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีลักษณะของการชำรุดเสียหายที่เกิดขึ้นค่อนข้างแน่นอนหรือพอคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด และไม่มีเวลาเตือนหรืออาการบ่งบอกล่วงหน้าถึงการชำรุดเสียหายที่จะเกิดขึ้น เช่น สปริง และหลอดไฟฟ้า เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามชิ้นส่วนหรือสารหล่อลื่นของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีลักษณะของการชำรุดเสียหายที่เกิดขึ้นค่อนข้างแน่นอนและมีเวลาเตือนล่วงหน้าถึงการชำรุดเสียหายที่จะเกิดขึ้น ในหลายๆกรณีอาจเหมาะสมกับการบำรุงรักษาตามกำหนดเวลาที่แน่นอน เช่น ในกรณีของการตรวจสภาพไม่สามารถทำได้หรือทำได้ก็จะมีค่าใช้จ่ายสูงไม่คุ้มกับการลงทุนหรือเป็นชิ้นส่วนของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่สำคัญมีกำหนดการหยุดการทำงานที่แน่นอนทำให้ต้องมีการเปลี่ยนในช่วงทีเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นหยุดทำงานเป็นต้นข้อได้เปรียบของการบำรุงรักษาป้องกันทางตรงก็คือถ้าดำเนินการอย่างถูกต้องและอยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้วก็จะสามารถลดการสูญเสียรายได้จากการผลิตเนื่องจากต้องหยุดเครื่องจักรและอุปกรณ์ลงได้ เนื่องจากกิจกรรมของการบำรุงรักษาป้องกันทางตรงสามารถป้องกันหรือลดจำนวนการชำรุดเสียหายของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่จะเกิดขึ้นโดยมิได้คาดหมายไว้ลงได้ นอกจากนี้กิจกรรมของการบำรุงรักษารูปแบบนี้ยังสามารถนำมาจัดทำเป็นแผนการบำรุงรักษาได้เป็นผลให้พนักงานของหน่วยงานบำรุงรักษามีงานเร่งด่วนและการทำงานล่วงเวลาที่น้อยลง รวมทั้งในบางกรณีอาจทำให้อายุการใช้งานของเครื่องจักรและอุปกรณ์ยืนยาวขึ้นด้วย


              ข้อเสียของการบำรุงรักษาป้องกันทางตรงก็คือการกำหนดให้มีการดำเนินงานบำรุงรักษาตามระยะเวลาที่แน่นอนนั้น อาจเป็นการดำเนินการที่เร็วหรือช้าเกินไปก็ได้ทั้งนี้เนื่องจากอายุการใช้งานของชิ้นส่วนของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เลือกใช้การบำรุงรักษารูปแบบนี้ แม้ว่าจะค่อนข้างแน่นอนก็ตามแต่ก็ยังคงมีการแปรผันไปตามปัจจัยต่างๆบ้าง ดังนั้นถ้าดำเนินการเร็วเกินไปหรือดำเนินการก่อนที่ชิ้นส่วนจะชำรุดเสียหายหรือสารหล่อลื่นที่ใช้จะเสื่อมสภาพจนไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไปก็จะเป็นการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย หรือถ้าดำเนินการช้าเกินไปเครื่องจักรและอุปกรณ์ก็อาจชำรุดเสียหายจนต้องหยุดทำงาน เป็นผลให้ต้องทำการบำรุงรักษาแบบแก้ไขชนิดที่ไม่มีแผนซึ่งจะทำให้เสียเวลาในการซ่อมแซมที่ยาวนานและจะนำไปสู่การสูญเสียรายได้เนื่องจากการผลิตที่สูงตามไปด้วย นอกจากนี้ถ้ามีการกำหนดให้ทำการบำรุงรักษาป้องกันมากเกินความจำเป็นก็อาจทำให้เกิดการสูญเสียการผลิตเนื่องจากต้องหยุดเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อทำการบำรุงรักษาที่เกินความจำเป็นดังกล่าว และในบางกรณีอาจเป็นต้นเหตุของการชำรุดเสียหายหรืออาจทำให้ขีดความสามารถของเครื่องจักรและอุปกรณ์ลดลงจากการดำเนินงานบำรุงรักษาด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้องอีกด้วย ตัวอย่างเช่น การถอดชิ้นส่วนเก่าของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ยังใช้งานได้ดีอยู่ออกไปแล้วใส่ชิ้นส่วนใหม่ด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้องเข้าไปเครื่องจักรและอุปกรณ์แทนที่จะยังสามารถใช้งานได้ดีตามกำหนดต่อไปก็จะเกิดการชำรุดเสียหายหรือทำงานไม่ได้ตามที่กำหนด เป็นต้น

              การบำรุงรักษาป้องกันทางอ้อมไม่ได้เป็นกิจกรรมบำรุงรักษาที่จะมีผลโดยตรงต่อเครื่องจักรและอุปกรณ์ แต่จะเป็นกิจกรรมของการตรวจสอบและเฝ้าติดตามสภาพของวัสดุที่ใช้สำหรับการทำงานของเครื่องจักร(ได้แก่ สารหล่อลื่น และสารหล่อเย็น เป็นต้น )และชิ้นส่วนของเครื่องจักรและอุปกรณ์ รวมถึงปัจจัยต่างๆที่แสดงถึงสภาพการทำงานของเครื่องจักรและอุปกรณ์เป็นระยะๆหรืออย่างต่อเนื่องตัวอย่างเช่นการตวจสอบและเฝ้าติดตามความดันและอุณหภูมิของน้ำมันไฮดรอลิกของระบบไฮดรอลิกของเครื่องจักรและอุปกรณ์การตรวจสอบและเฝ้าติดตามแรงดันและกระแสไฟฟ้าของมอเตอร์ไฟฟ้าการดูการสั่นสะเทือนของเครื่องจักรการฟังเสียงของตลับลูกปืนในขณะที่เครื่องจักรและอุปกรณ์ทำงานและการตรวจสอบการเสื่อมสภาพของสารหล่อลื่น เป็นต้น ซึ่งเมื่อตรวจพบว่ามีข้อขัดข้องหรือมีสิ่งบ่งบอกถึงการชำรุดเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับเครื่องจักรและอุปกรณ์ ก็จะดำเนินการบำรุงรักษาก่อนที่เครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นๆจะชำรุดเสียหายซึ่งถือได้ว่าเป็นการบำรุงรักษาในลักษณะของการป้องกันการชำรุดเสียหายที่จะเกิดขึ้น และจะเห็นได้ว่าการบำรุงรักษาป้องกันทางอ้อมนั้นจะนำไปสู่รูปแบบของการบำรุงรักษาที่จะดำเนินการตามสภาพของวัสดุหรือชิ้นส่วนและสภาพการทำงานที่เป็นจริงของเครื่องจักรและอุปกรณ์เท่านั้น นั่นคือจะดำเนินการเปลี่ยนวัสดุหรือชิ้นส่วนของเครื่องจักรและอุปกรณ์ก็ต่อเมื่อตรวจสอบพบว่าวัสดุหรือชิ้นส่วนนั้นๆกำลังจะชำรุดเสียหายหรือกำลังเสื่อมสภาพเกินขีดจำกัดที่ยอมรับได้หรือดำเนินการปรับแต่งหรือซ่อมแซมเมื่อตรวจสอบพบว่าสภาพการทำงานของเครื่องจักรและอุปกรณ์แสดงถึงแนวโน้มของการชำรุดเสียหายที่จะเกิดขึ้น หรือมีสภาพอยู่ในระดับที่เกินหรือต่ำกว่าขีดจำกัดที่ยอมรับได้ซึ่งกำหนดไว้ล่วงหน้าโดยไม่ได้กำหนดกิจกรรมและระยะเวลาที่แน่นอนในการดำเนินการปรับแต่งหรือซ่อมแซมไว้เหมือนกับการบำรุงรักษาตามกำหนดเวลาที่แน่นอน จึงนิยมที่จะเรียกการบำรุงรักษาที่ดำเนินการตามผลการตรวจสอบ ( การบำรุงรักษาป้องกันทางอ้อม ) นี้ว่า การบำรุงรักษาตามสภาพ ( condition based maintenance ) และถ้าหากมีการนำเอาผลการตรวจสอบมาวิเคราะห์หาแนวโน้มและคาดคะเนช่วงเวลาของการชำรุดเสียหายที่จะเกิดขึ้นก็นิยมที่จะเรียกกิจกรรมนี้ว่าการบำรุงรักษาคาดการณ์ ( predictive maintenance ) การบำรุงรักษาป้องกันทางอ้อมยังสามารถแบ่งตามวิธีการที่ใช้ในการตรวจสอบออกเป็นอีก 2 ชนิด ( ดูตามรูปที่ 4.4 ) คือ การบำรุงรักษาป้องกันทางอ้อมชนิดใช้ความรู้สึก ( subjective indirect preventive maintenance ) และการบำรุงรักษาป้องกันทางอ้อมชนิดใช้เครื่องวัด ( objective indirect preventive maintenance )
รูปที่ 4.4 ชนิดของการบำรุงรักษาป้องกันทางอ้อม
              การบำรุงรักษาป้องกันทางอ้อมชนิดใช้ความรู้สึกเป็นการตรวจสอบสภาพของวัสดุ ชิ้นส่วน และการทำงานของเครื่องจักรและอุปกรณ์โดยใช้ความรู้สึกของผู้ตรวจสอบ ได้แก่ การมองดู การหลุดหลวมของชิ้นส่วน ความเรียบร้อยและความสะอาดของเครื่องจักรและอุปกรณ์ การสึกหรอของชิ้นส่วน และการรั่วซึมของของเหลวที่ใช้ในเครื่องจักรและอุปกรณ์ การฟัง เสียงของชิ้นส่วนเครื่องจักรและอุปกรณ์ในขณะทำงาน และเสียงการรั่วของของไหล การสัมผัส การสั่นสะเทือนของเครื่องจักรและอุปกรณ์ และระดับความร้อนของชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องจักรและอุปกรณ์ การดมกลิ่น น้ำมันหล่อลื่นที่ใช้งานแล้ว และการไหม้ของอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ และการชิม รสชาติของของเหลวที่ใช้ในเครื่องจักรและอุปกรณ์ เป็นต้น การตรวจสอบสภาพโดยใช้ความรู้สึกต้องอาศัยบุคลากรที่มีประสบการณ์สูงถึงจะสามารถบอกถึงสภาพของเครื่องจักรและอุปกรณ์ได้ค่อนข้างแม่นยำ แต่ส่วนใหญ่แล้วก็จะสามารถบอกได้เพียงว่า วัสดุ ชิ้นส่วน และการทำงานของเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นยังอยู่ในสภาพใช้งานได้ดีหรือมีสิ่งผิดปรกติเกิดขึ้น ซึ่งการตรวจสอบพบสิ่งผิดปรกติในบางกรณีก็อาจไม่มีเวลาเพียงพอที่จะทำการแก้ไขก่อนที่เครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นชำรุดเสียหายจนต้องหยุดทำงานได้ ทั้งนี้เนื่องจากข้อขัดข้องบางอย่างกว่าที่จะรู้สึกได้ก็ใกล้จะชำรุดเสียหายแล้ว


              การบำรุงรักษาป้องกันทางอ้อมชนิดใช้เครื่องวัดเป็นการตรวจสภาพของ วัสดุ ชิ้นส่วน และการทำงานของเครื่องจักรและอุปกรณ์โดยใช้เครื่องมือในการตรวจวัด ซึ่งจะให้ความแม่นยำสูงกว่าการใช้ความรู้สึก เครื่องมือวัดที่ใช้ในการตรวจสอบสภาพดังกล่าวมีหลายประเภทและหลายแบบ การเลือกใช้จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อให้ได้เครื่องวัดที่สามารถใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์และได้ผลตอบแทนคุ้มค่ากับการลงทุนในการจัดหาเครื่องมือวัดนั้นๆมาใช้งาน สำหรับเครื่องมือวัดที่นิยมใช้ในการตรวจสอบก็มี เช่น เครื่องวัดทางไฟฟ้า เครื่องวัดการสั่นสะเทือน เครื่องวัดความหนาด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง เครื่องตรวจสอบการรั่วไหล เครื่องวัดอุณหภูมิ เครื่องวัดความดัน และเครื่องวัดอัตราการไหล เป็นต้น ซึ่งการตรวจสอบโดยใช้เครื่องวัดเหล่านี้เพื่อให้รู้ถึงสภาพของเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นจำเป็นต้องมีการดำเนินการตรวจวัดอย่างสม่ำเสมอที่นิยมเรียกว่าการเฝ้าติดตามสภาพ ( condition monitoring ) ซึ่งสามารถดำเนินการได้ 2 แบบคือ การเฝ้าติดตามเป็นระยะ ( off-line condition monitoring ) เป็นการดำเนินการเฝ้าติดตามด้วยเครื่องมือวัดที่ไม่ได้ติดตั้งอยู่กับเครื่องจักรและอุปกรณ์ โดยการตรวจวัดจะกระทำตามรายละเอียดของการตรวจสอบ ได้แก่ ค่าที่ต้องตรวจวัด เครื่องมือวัดที่ใช้ ตำแหน่งของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่จะตรวจวัด บุคลากรที่จะทำการตรวจวัด เป็นต้น และตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งจะต้องมีการบันทึกข้อมูลที่วัดได้เพื่อนำไปวิเคราะห์ต่อไป และการเฝ้าติดตามอย่างต่อเนื่อง ( on-line condition monitoring ) เป็นการดำเนินการเฝ้าติดตามด้วยเครื่องมือวัดที่ติดตั้งหรือต่อโดยตรงเข้ากับเครื่องจักรและอุปกรณ์ จึงทำให้สามารถแสดงค่าที่วัดได้อย่างต่อเนื่อง เป็นผลให้รู้ถึงสภาพของเครื่องจักรและอุปกรณ์ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังสามารถติดตั้งระบบสัญญาณเตือนซึ่งอาจเป็นระบบเตือนด้วยเสียงหรือด้วยแสง ( หลอดไฟฟ้า ) หรือทั้งสองอย่างก็ได้ เข้ากับระบบเฝ้าติดตามอย่างต่อเนื่อง ซึ่งระบบสัญญาณเตือนจะทำงานเมื่อค่าที่อ่านได้เกินขีดจำกัดที่ยอมรับได้หรือเกินระดับที่ควรระวังเป็นต้น  รูปที่ 4.5 แสดงตัวอย่างของเครื่องมือวัดที่ต่อโดยตรงเข้ากับเครื่องสูบ เพื่อเฝ้าติดตามสภาพของเครื่องสูบอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าการเฝ้าติดตามอย่างต่อเนื่องจะให้ผลที่ดีกว่าการเฝ้าติดตามเป็นระยะก็ตามแต่มักจะต้องลงทุนสูง จึงมักจะนำไปใช้กับเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีความสำคัญต่อการผลิตและต่อความปลอดภัย และนิยมใช้กับชิ้นส่วนหรือเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เกิดการชำรุดเสียหายในเวลาสั้นๆหลังจากตรวจพบว่าเริ่มมีความผิดปรกติเกิดขึ้น


         ค่าที่วัดได้จากการตรวจวัดไม่ว่าจะเป็นการเฝ้าติดตามเป็นระยะหรือการเฝ้าติดตามอย่างต่อเนื่องในบางกรณีอาจบ่งบอกถึงสภาพของวัสดุ ชิ้นส่วน หรือเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นๆได้ทันที แต่ก็มีอีกหลายกรณีที่จำเป็นจะต่อเอาค่าที่วัดได้มาวิเคราะห์เพื่อให้รู้ถึงสภาพหรือแนวโน้มของสภาพของวัสดุ ชิ้นส่วน หรือเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นๆ ดังนั้นการดำเนินงานบำรุงรักษาป้องกันทางอ้อมชนิดใช้เครื่องวัดจะต้องใช้บุคลากรที่มีความรู้และประสบการณ์ในเรื่องที่เกี่ยวข้องอย่างเพียงพอ

         การบำรุงรักษาป้องกันทางอ้อมและการนำผลการดำเนินการเพื่อไปใช้ในการบำรุงรักษาตามสภาพจะเหมาะสมกับชิ้นส่วนและเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีลักษณะของการชำรุดเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งแน่นอนและไม่แน่นอนคือทั้งที่พอคาดคะเนได้และไม่สามารถคาดคะเนได้ แต่จะต้องมีเวลาเตือนหรือสิ่งบ่งบอกล่วงหน้าก่อนที่การชำรุดเสียหายจะเกิดขึ้น ข้อได้เปรียบของการบำรุงรักษารูปแบบนี้ก็คือทำให้สามารถวางแผนการซ่อมแซมหรือการบำรุงรักษาแก้ไขได้อย่างเป็นระบบ และมีเวลาพอที่จะจัดเตรียมวัสดุและชิ้นส่วนรวมถึงทรัพยากรอื่นๆที่จำเป็นต้องใช้ในการซ่อมแซม เป็นผลให้เวลาที่ต้องหยุดเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อทำการซ่อมแซมลดลง


         ส่วนข้อเสียของการบำรุงรักษารูปแบบนี้ก็คือปริมาณงานบำรุงรักษาและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาอาจเพิ่มขึ้น ถ้ามีการตรวจสอบและวิเคราะห์ผลของการตรวจสอบสภาพของวัสดุ ชิ้นส่วน และการทำงานของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น หากมีการตรวจสอบชิ้นส่วนของเครื่องจักรและอุปกรณ์โดยใช้เครื่องวัดและผลของการวิเคราะห์ข้อมูลที่วัดได้พบว่าสภาพของชิ้นส่วนไม่สามารถใช้งานต่อไปได้ จึงมีการเปลี่ยนชิ้นส่วนนั้น แต่ในข้อเท็จจริงปรากฏว่าการตรวจวัดที่ได้ดำเนินการไปแล้วไม่ถูกต้องและชิ้นส่วนดังกล่าวยังอยู่ในสภาพที่ดีและสามารถใช้งานได้อีกนาน การเปลี่ยนชิ้นส่วนนั้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น เป็นผลให้เกิดการสูญเปล่าทั้งในด้านเวลาและค่าใช้จ่าย เป็นต้น นอกจากนี้แม้ว่าการตรวจสอบสามารถทำได้โดยใช้ความรู้สึกของผู้ตรวจสอบ แต่ในหลายๆกรณีการตรวจสอบโดยใช้ความรู้สึกจะไม่สามารถให้ข้อมูลที่แม่นยำและเพียงพอที่จะนำไปวิเคราะห์สภาพของวัสดุ ชิ้นส่วน และการทำงานของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ถูกต้องได้ ดังนั้นถ้าจะดำเนินการบำรุงรักษาตามสภาพให้ได้ผลก็จะต้องมีการลงทุนจัดหาเครื่องมือวัดที่เหมาะสม และลงทุนในการฝึกอบรมบุคลากรด้านบำรุงรักษาให้สามารถใช้เครื่องมือวัดและวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการวัดได้อย่างถูกต้อง แต่อย่างไรก็ตามหากไม่ดำเนินการตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวเองก็อาจจ้างหน่วยงานภายนอกที่มีความชำนาญเป็นผู้ดำเนินการให้ก็ได้ ซึ่งก็จะมีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ตามมาเช่นกัน สำหรับโรงงานที่เคยใช้วิธีการบำรุงรักษาแก้ไขหรือการบำรุงรักษาหลังเหตุขัดข้องเป็นหลักและจะนำเอาวิธีการบำรุงรักษาป้องกันทางอ้อมมาใช้นั้นจำเป็นต้องมีการปรับระบบการจัดการงานบำรุงรักษาที่เป็นอยู่ให้เข้ากับแนวทางในการดำเนินการบำรุงรักษาป้องกันทางอ้อมนี้ มิฉะนั้นแล้วจะทำให้เกิดปัญหาในการปฏิบัติงานขึ้น เช่น หน่วยงานบำรุงรักษาไม่ได้รับงบประมาณในการจัดหาเครื่องมือวัดที่เพียงพอ บุคลากรไม่ได้รับการฝึกอบรมอย่างถูกต้อง ไม่มีเวลาที่เพียงพอในการวัดและรวบรวมข้อมูล และไม่ได้รับการยินยอมให้หยุดเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อทำการแก้ไขเมื่อได้ตรวจพบว่าได้เกิดข้อขัดข้องที่จะนำไปสู่การชำรุดเสียหายของเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นๆแล้ว เป็นต้น  

             แนวคิดของการบำรุงรักษาปรับปรุงเกิดมาจากปัญหาของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ไม่สามารถแก้ไขได้โดยการบำรุงรักษาทั้งแบบแก้ไขและป้องกัน ซึ่งได้แก่การชำรุดเสียหายแบบเดิมเกิดขึ้นบ่อย เครื่องจักรและอุปกรณ์ถูกออกแบบมาไม่เหมาะกับสภาพการใช้งานและสภาพแวดล้อมที่เป็นจริง และการบำรุงรักษาทั้งแบบแก้ไขและป้องกันที่จะปฏิบัติต่อเครื่องจักรและอุปกรณ์กระทำได้ยาก จึงมีความจำเป็นต้องมีการปรับปรุง ดัดแปลง หรือออกแบบบางส่วนของเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นๆใหม่ เพื่อขจัดการชำรุดเสียหายที่เกิดขึ้นบ่อยให้หมดไป หรือเพื่อให้เหมาะกับสภาพการใช้งานและสภาพแวดล้อม หรือให้สะดวกต่อการบำรุงรักษาทั้งแบบแก้ไขและแบบป้องกัน ดังนั้นการบำรุงรักษาปรับปรุงจึงเป็นการบำรุงรักษาที่สามารถกระทำต่อเครื่องจักรและอุปกรณ์ทั้งในสภาพที่ชำรุดแล้วหรือในสภาพที่ยังใช้งานได้ดีอยู่ และการบำรุงรักษาป้องกันส่วนใหญ่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง ดัดแปลง เพิ่มเติม หรือปรับปรุงชิ้นส่วนของเครื่องจักรและอุปกรณ์ การบำรุงรักษาปรับปรุงนิยมที่จะแบ่งเป็นชนิดต่างๆตามวัตถุประสงค์ของการปรับปรุง (ดูรูปที่ 4.6) คือ การบำรุงรักษาแบบขจัดปัญหาให้หมดไป (design out maintenance) การบำรุงรักษาแบบยืดอายุให้ยาวขึ้น (lifetime extension maintenance) และการบำรุงรักษาปรับปรุงในลักษณะอื่น
รูปที่ 4.6 ชนิดของการบำรุงรักษาปรับปรุง
              การบำรุงรักษาปรับปรุงแบบขจัดปัญหาให้หมดไปเป็นกิจกรรมที่ปฏิบัติต่อเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อขจัดปัญหาที่นำไปสู่การชำรุดเสียหายของเครื่องจักรและอุปกรณ์ให้หมดไป ซึ่งดำเนินการโดยวิเคราะห์เหตุขัดข้องของการชำรุดเสียหายที่เกิดขึ้นกับเครื่องจักรและอุปกรณ์ แล้วทำการแก้ไขที่ต้นเหตุหรือสาเหตุรากของเหตุขัดข้อง ตัวอย่างเช่น การชำรุดเสียหายของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ได้วิเคราะห์แล้วว่าเกิดจากการใช้งานที่ไม่ถูกต้อง การแก้ปัญหาก็อาจจะต้องมีทั้งการปรับปรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์ให้พนักงานควบคุมสามารถใช้งานได้ง่ายโดยให้โอกาสของการเกิดข้อผิดพลาดมีน้อยที่สุด และการฝึกอบรมพนักงานควบคุมเครื่องจักรและอุปกรณ์ให้รู้ถึงวิธีใช้งานที่ถูกต้อง รวมทั้งจะต้องมีการกำหนดมาตรการเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้จะใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์อย่างถูกต้อง เป็นต้น ซึ่งจะเห็นว่าการบำรุงรักษาปรับปรุงแบบขจัดปัญหาให้หมดไปมิได้ดำเนินการต่อเครื่องจักรและอุปกรณ์โดยตรงเท่านั้น แต่จะต้องดำเนินการกับปัจจัยที่จะมีผลกับเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นๆด้วย และถ้าปัญหาทั้งหมดที่จะนำไปสู่การชำรุดเสียหายของเครื่องจักรและอุปกรณ์ถูกขจัดให้หมดไป เครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นก็จะมีการชำรุดเสียหายอีกต่อไป  ซึ่งถือว่าเป็นสภาพในอุดมคติที่ต้องการของการบำรุงรักษาหรืออีกนัยหนึ่งก็คือเป้าหมายสูงสุดของการบำรุงรักษาที่ส่งผลให้ความพร้อมใช้งานของเครื่องจักรและอุปกรณ์มีค่าสูงสุดด้วย แต่อย่างไรก็ตามโดยทั่วไปแล้วการขจัดปัญหาทั้งหมดที่จะนำไปสู่การชำรุดเสียหายของเครื่องจักรและอุปกรณ์ให้หมดไปนั้นอาจไม่สามารถทำได้กับเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้อยู่ในโรงงานทั้งหมดได้ เนื่องจากปัญหาบางอย่างไม่สามารถขจัดให้หมดไปได้หรือถ้าได้ก็จะไม่คุ้มค่ากับการลงทุน นอกจากการขจัดปัญหาของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้งานอยู่ให้หมดไปแล้ว การนำเอาข้อมูลของเหตุขัดข้องและผลการวิเคราะห์หาสาเหตุรากไปใช้ในการออกแบบเครื่องจักรประเภทเดียวกันใหม่ หรือนำเอาไปใช้กำหนดรายละเอียดของเครื่องจักรและอุปกรณ์ประเภทเดียวกันที่จะจัดหามาเพิ่มเติมหรือมาทดแทนของเดิมก็จะได้เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่อาจไม่ต้องการการบำรุงรักษาเลย หรือจะได้เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ง่ายต่อการบำรุงรักษาและไม่เกิดข้อขัดข้องได้ง่ายซึ่งเรียกกิจกรรมนี้ว่าการป้องกันการบำรุงรักษา (Maintenance prevention)

              การบำรุงรักษาปรับปรุงแบบยืดอายุให้ยาวขึ้นนั้นเป็นกิจกรรมของการบำรุงรักษาซึ่งเป็นทางเลือกลำดับถัดไปของของการบำรุงรักษาแบบขจัดปัญหาให้หมดไปในกรณีที่ไม่สามารถขจัดให้หมดไปได้เนื่องจากเหตุผลทางด้านเทคนิค ตัวอย่างเช่น การเสื่อมสภาพของน้ำมันหล่อลื่นอันเป็นผลมาจากการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ ซึ่งอาจถือว่าไม่สามารถขจัดปัญหาการเสื่อมสภาพของน้ำมันหล่อลื่นดังกล่าวได้เนื่องจากเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ต้องใช้น้ำมันหล่อลื่นนั้นๆไม่สามารถทำงานในสภาวะที่ไม่มีอากาศซึ่งมีออกซิเจนอยู่ได้ เป็นต้น และในกรณีที่สามารถขจัดปัญหาให้หมดไปได้แต่ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน ตัวอย่างเช่น การกัดกร่อนของชิ้นส่วนเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เกิดจากการเป็นสนิมของเหล็กที่ใช้ทำชิ้นส่วน ซึ่งสามารถขจัดปัญหาให้หมดไปได้โดยการเปลี่ยนไปใช้ชิ้นส่วนที่ทำด้วยเหล็กกล้าไร้สนิม แต่เมื่อวิเคราะห์การลงทุนกับประโยชน์ที่จะได้รับแล้วพบว่าไม่คุ้มค่าการลงทุน เป็นต้น  ในทั้งสองกรณีดังกล่าวข้างต้นแม้ว่าปัญหาข้อขัดข้องจะไม่ถูกขจัดให้หมดไปก็ตาม แต่ไม่ได้หมายความว่าควรจะปล่อยให้ปัญหาข้อขัดข้องดังกล่าวเกิดขึ้นในลักษณะเดิมอีก นั่นก็คือจะต้องนำผลการวิเคราะห์ปัญหาข้อขัดข้องเพื่อที่ขจัดปัญหาให้หมดไปที่ได้ดำเนินการแล้ว มาพิจารณาว่าถ้าไม่สามารถที่จะขจัดปัญหาให้หมดไป จะสามารถยืดเวลาของการเกิดปัญหาข้อขัดข้องหรือยืดอายุการใช้งานของวัสดุหรือชิ้นส่วนออกไปได้หรือไม่ ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนไปใช้น้ำมันหล่อลื่นประเภทน้ำมันสังเคราะห์แทนน้ำมันหล่อลื่นประเภทน้ำมันแร่ซึ่งจะยืดอายุการใช้งานออกไปได้สองเท่าของอายุการใช้งานเดิมและการป้องกันสนิมของชิ้นส่วนโดยใช้สีกันสนิมชนิดพิเศษซึ่งจะสามารถยืดอายุการใช้งานของชิ้นส่วนออกไปอีกหนึ่งเท่าของอายุการใช้งานของชิ้นส่วนเดิม เป็นต้น นอกจากนี้การบำรุงรักษาปรับปรุงแบบยืดอายุให้ยาวขึ้นจำเป็นต้องพิจารณาถึงความคุ้มค่าด้วยทุกๆกรณีและจะต้องพิจารณาทางเลือกทุกๆทางที่เป็นไปได้แล้วเลือกวิธีที่ดีและประหยัดที่สุดเสมอ

              นอกจากการบำรุงรักษาปรับปรุงแบบขจัดปัญหาให้หมดไปและแบบยืดอายุให้ยาวขึ้นแล้วยังมีการบำรุงรักษาในลักษณะอื่นที่ถือว่าเป็นการบำรุงรักษาปรับปรุงอีก เช่น การปรับปรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์ให้มีการบำรุงรักษาป้องกันทั้งทางตรงและทางอ้อมได้ง่ายขึ้น ตังอย่างเช่น การปรับปรุงตำแหน่งที่จะต้องหล่อลื่นด้วยการอัดจาระบีโดยการนำมารวมกันไว้ที่จุดเดียวเพื่อให้สะดวกต่อการปฏิบัติงาน การจัดทำจุดที่จะเก็บตัวอย่างน้ำมันหล่อลื่นที่จะนำไปทดสอบ การจุดที่จะวัดความดันเพื่อทดสอบการทำงานของระบบไฮดรอลิก เป็นต้น ซึ่งการบำรุงรักษาปรับปรุงในลักษณะอื่นๆดังกล่าวจะถือว่าเป็นการดำเนินการเพื่อขจัดปัญหาให้หมดไปหรือยืดอายุให้ยาวขึ้นก็ได้ ทั้งนี้เพราะผลของการดำเนินการก็จะช่วยทั้งการขจัดปัญหาให้หมดไปและการยืดอายุให้ยาวขึ้นด้วยแล้วแต่ผลที่จะเกิดขึ้นตามมา



โปรแกรมบริหารงานซ่อมบำรุง ที่ทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2559

กลยุทธ์ของการบำรุงรักษา

          วัตถุประสงค์ของการบำรุงรักษาก็คือการให้ได้มาซึ่งสมรรถนะความพร้อมใช้งานของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่สูงสุด ในสภาพการทำงานที่ให้กำลังผลิตสูงสุดและให้เครื่องจักรและอุปกรณ์มีอายุการใช้งานที่เหมาะสม โดยมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำที่สุด รวมทั้งต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมและความปลอดภัยด้วย วิธีการดำเนินงานบำรุงรักษาที่จะนำไปสู่วัตถุประสงค์ดังกล่าวไม่มีรูปแบบที่แน่นอนตายตัว ซึ่งรูปแบบของการดำเนินการบำรุงรักษาที่เหมาะสมของแต่ละโรงงานจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ได้แก่ นโยบายของโรงงาน ประเภท ชนิด และสภาพของเครื่องจักกลและอุปกรณ์ การจัดองค์กร จำนวน ประสบการณ์ และทัศนคติของพนักงานที่เกี่ยวข้อง การแข่งขันในตลาด และอื่นๆ แต่อย่างไรก็ตามในการกำหนดรูปแบบของการบำรุงรักษาและระบบการจัดการที่เหมาะสมของแต่ละโรงงานนั้นมักจะต้องอาศัยวิธีการหลักหรือแนวทางที่คล้ายๆกันในการดำเนินงานบำรุงรักษาเพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ของการบำรุงรักษาที่นิยมเรียกกันว่ากลยุทธ์ของการบำรุงรักษา ซึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญมีดังต่อไปนี้คือ

     1. การเลือกรูปแบบของการบำรุงรักษาให้เหมาะสมกับชิ้นส่วน เครื่องจักรกล และอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องมีการบำรุงรักษา
     2. การเปลี่ยนจากการบำรุงรักษาแก้ไขชนิดที่ไม่มีแผนให้เป็นการบำรุงรักษาแก้ไขชนิดที่มีแผน
     3. การดำเนินการบำรุงรักษาป้องกันสำหรับชิ้นส่วน วัสดุ เครื่องจักร และอุปกรณ์ ในระดับที่เหมาะสม
     4. การหาและใช้หน้าต่างของการบำรุงรักษาให้ได้ประโยชน์สูงสุด
     5. การดำเนินการบำรุงรักษาเชิงรุก
     6. การให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานบำรุงรักษา

   การนำเอากลยุทธ์ดังกล่าวข้างต้นไปใช้จะทำให้ได้ระบบการจัดการงานบำรุงรักษาที่มีพื้นฐานที่มั่นคงและเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่การบำรุงรักษาที่ถูกต้อง แต่จะให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีมากน้อยเท่าใด จะขึ้นอยู่กับระดับของการนำกลยุทธ์แต่ละกลยุทธ์ไปใช้และการผสมผสานกลยุทธ์ต่างๆเข้าด้วยกัน

การเลือกรูปแบบของการบำรุงรักษาที่เหมาะสม
              การบำรุงรักษาที่จะกระทำต่อชิ้นส่วน เครื่องจักร และอุปกรณ์ส่วนใหญ่สามารถทำได้หลายรูปแบบ ซึ่งการพิจารณาเลือกรูปแบบการบำรุงรักษาที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ได้แก่ ลักษณะของอายุการใช้งานและการเกิดความเสียหายและเสื่อมสภาพของชิ้นส่วนและสารต่างๆที่ใช้ในเครื่องจักรและอุปกรณ์ สมรรถนะความพร้อมใช้งานของเครื่องจักรและอุปกรณ์ ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา ความสำคัญของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีต่อผลผลิต ลักษณะและแผนการผลิต สภาพการใช้งานและสภาพแวดล้อม และปัจจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้อง โดยปัจจัยทั้งหมดนี้สามารถจำแนกออกเป็นปัจจัยหลักซึ่งเป็นตัวกำหนดรูปแบบของการบำรุงรักษาในเบื้องต้นและปัจจัยรองที่ต้องนำมาพิจารณาประกอบเพื่อยืนยันความเหมาะสมของรูปแบบของการบำรุงรักษาที่ถูกกำหนดโดยปัจจัยหลัก
             การกำหนดรูปแบบของการบำรุงรักษาที่เหมาะสมโดยทั่วไปมักจะใช้ลักษณะของอายุการใช้งานและการเกิดความเสียหายและเสื่อมสภาพของชิ้นส่วนและวัสดุหรือสารต่างๆที่ใช้ในเครื่องจักรและอุปกรณ์เป็นปัจจัยหลักในการพิจารณา ทั้งนี้เนื่องจากชิ้นส่วนและสารต่างๆที่ใช้ในเครื่องจักรและอุปกรณ์แต่ละชิ้นหรือแต่ละประเภทจะมีอายุการใช้งานเฉพาะตัว โดยจะขึ้นอยู่กับแบบ คุณภาพ การทำงาน และสภาพแวดล้อมอื่นๆ  ชิ้นส่วนหรือวัสดุแบบ คุณภาพ และทำงานในสภาพแวดล้อมหนึ่งๆถ้ามีอายุการใช้งานหรือเวลาที่จะเกิดปัญหาขัดข้องที่พอคาดคะเนได้ก็จะถือว่าชิ้นส่วนหรือวัสดุนั้นมีอายุการใช้งานที่ค่อนข้างแน่นอนหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นจะสม่ำเสมอ (Regular failure) หรือถ้ามีอายุการใช้งานหรือเวลาที่จะเกิดปัญหาขัดข้องที่ไม่สามารถคาดคะเนได้ก็จะถือว่าชิ้นส่วนหรือวัสดุนั้นมีอายุการใช้งานที่ไม่แน่นอนหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นจะไม่สม่ำเสมอ (random failure)
             นอกจากลักษณะของอายุการใช้งานที่แตกต่างกันแล้ว ชิ้นส่วนและวัสดุที่ใช้ในเครื่องจักรและอุปกรณ์ยังมีลักษณะของการเกิดความเสียหายที่แตกต่างกันอีกด้วย ซึ่งพอจำแนกการเกิดความเสียหายนี้ออกได้เป็น 2 ลักษณะคือ ความเสียหายที่มีเวลาเตือนของการเกิดความเสียหาย หรือมีอาการหรือสิ่งบ่งบอกล่วงหน้าเป็นเวลาระยะหนึ่งก่อนที่จะเกิดความเสียหาย หรือความเสียหายที่เกิดขึ้นจะใช้เวลาระยะหนึ่งในการพัฒนาจากอาการขัดข้องเล็กน้อยจนเป็นกลายไปเป็นความเสียหายในที่สุด ( failure with failure developing time ) ตามลักษณะที่แสดงด้วยกราฟตามรูปที่ 4.7 และความเสียหายที่ไม่มีเวลาเตือนของการเกิดความเสียหาย หรือไม่มีอาการหรือบ่งบอกล่วงหน้าเป็นเวลาระยะหนึ่งก่อนที่จะเกิดความเสียหาย หรือความเสียหายที่เกิดขึ้นจะไม่มีระยะเวลาในการพัฒนาจากอาการขัดข้องเล็กน้อยจนกลายไปเป็นความเสียหาย ( failure without failure developing time ) ตามลักษณะที่แสดงด้วยกราฟ
 
 
  จากการจำแนกลักษณะอายุการใช้งานและการเกิดความเสียหายของชิ้นส่วนตามรายละเอียดข้างต้นทำให้สามารถกำหนดรูปแบบของการบำรุงรักษาที่เหมาะสมเบื้องต้นสำหรับชิ้นส่วนและวัสดุของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีลักษณะของอายุการใช้งานและการเกิดความเสียหายที่แตกต่างกันได้เป็น 4 กรณี คือ

1.ชิ้นส่วนหรือวัสดุที่มีอายุการใช้งานที่ค่อนข้างแน่นนอนและมีเวลาเตือนสำหรับความเสียหายที่จะเกิดขึ้น จะเหมาะกับการบำรุงรักษาป้องกันทางอ้อม ถ้าสามารถตรวจสอบสภาพของชิ้นส่วนหรือวัสดุนั้นๆได้ และถ้าการตรวจสอบแบบใช้ความรู้สึกสามารถให้ข้อมูลที่เพียงพอในการกำหนดสภาพและการคาดคะเนความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้ก็ควรใช้การตรวจสอบสภาพแบบใช้ความรู้สึก แต่ถ้าไม่สามารถตรวจสอบโดยใช้ความรู้สึกได้หรือใช้ได้แต่ให้ข้อมูลที่ไม่สามารถกำหนดสภาพของชิ้นส่วนหรือวัสดุได้ก็จะต้องใช้การตรวจสภาพแบบใช้เครื่องวัด และถ้าเวลาเตือนสำหรับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นสั้นก็ควรใช้การตรวจสอบแบบใช้เครื่องวัดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อตรวจสอบพบว่าชิ้นส่วนหรือวัสดุจะเกิดความเสียหายหรือเสื่อมสภาพหรือทำงานไม่ได้ตามที่กำหนดและจะนำไปสู่ความเสียหายก็จะดำเนินการเปลี่ยนหรือปรับตั้งก่อนที่เกิดความเสียหายนั้นๆขึ้น ซึ่งก็คือการดำเนินงานบำรุงรักษาตามสภาพนั่นเอง

2.ชิ้นส่วนหรือวัสดุที่มีอายุการใช้งานที่ค่อนข้างแน่นอนแต่ไม่มีเวลาเตือนสำหรับความเสียหายที่จะเกิดขึ้น จะเหมาะกับการบำรุงรักษาป้องกันทางตรงหรือการบำรุงรักษาตามกำหนดเวลาที่แน่นอน ทั้งนี้เนื่องจากไม่มีเวลาเตือนสำหรับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจึงไม่สามารถตรวจสอบสภาพหรือทำการบำรุงรักษาป้องกันทางอ้อม และทำการบำรุงรักษาตามสภาพได้ แต่เนื่องจากมีอายุการใช้งานที่ค่อนข้างแน่นอนจึงพอที่กำหนดระยะเวลาที่ต้องทำการเปลี่ยนหรือปรับตั้งชิ้นส่วนหรือวัสดุได้ก่อนที่ชิ้นส่วนจะเกิดความเสียหายหรือเสื่อมสภาพได้

3.ชิ้นส่วนหรือวัสดุที่มีอายุการใช้งานที่ไม่แน่นอนแต่มีเวลาเตือนสำหรับความเสียหายที่จะเกิดขึ้น จะเหมาะกับการบำรุงรักษาป้องกันทางอ้อม ถ้าสามารถตรวจสอบสภาพของชิ้นส่วนหรือวัสดุนั้นๆได้ ทั้งนี้เนื่องจากมีเวลาเตือนเพียงพอที่จะใช้เตรียมการสำหรับการบำรุงรักษาตามสภาพได้เมื่อตรวจพบว่ามีอาการบ่งบอกถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นหรือพบการเริ่มเกิดความเสียหายเช่นเดียวกับในกรณีแรก และถ้าสามารถทำการตรวจสอบโดยใช้ความรู้สึกแล้วได้ผลลัพธ์ที่เพียงพอในการกำหนดสภาพของชิ้นส่วนและวัสดุนั้นๆก็ควรใช้การตรวจสภาพโดยใช้ความรู้สึก แต่ถ้าทำไม่ได้หรือทำได้แต่ผลลัพธ์ไม่เพียงพอก็ควรใช้การตรวจสอบโดยใช้เครื่องวัด ซึ่งถ้าเวลาเตือนสั้นก็ควรจะเป็นการตรวจสอบแบบต่อเนื่องเช่นกัน

4.ชิ้นส่วนหรือวัสดุที่มีอายุการใช้งานที่ไม่แน่นอนและไม่มีเวลาเตือนสำหรับความเสียหายที่จะเกิดขึ้น จำเป็นต้องใช้การบำรุงรักษาแก้ไขเนื่องจากไม่สามารถคาดคะเนอายุการใช้งานได้ และไม่มีเวลาเตือนที่จะนำไปใช้ในการวางแผนและเตรียมการบำรุงรักษา

  เมื่อได้พิจารณารูปแบบของการบำรุงรักษาที่เหมาะสมโดยอาศัยปัจจัยหลักแล้ว ก็ควรนำเอาปัจจัยรองแต่ละปัจจัยมาพิจารณายืนยันและกำหนดรายละเอียดที่จำเป็นต้องเพิ่มเติมสำหรับรูปแบบของการบำรุงรักษาที่เหมาะสมที่ได้จากการใช้ปัจจัยหลักนั้นๆ ตัวอย่างเช่น   ถ้าเป็นชิ้นส่วนหรือวัสดุของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มี
ความสำคัญต่อผลผลิตและได้กำหนดโดยปัจจัยหลักแล้วควรใช้การบำรุงรักษาป้องกันทางอ้อมซึ่งสามารถทำการตรวจสอบสภาพได้ทั้งการใช้ความรู้สึกและการใช้เครื่องวัด เนื่องจากเป็นชิ้นส่วนหรือวัสดุของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีความสำคัญต่อผลผลิตซึ่งถ้าเครื่องจักรและอุปกรณ์นี้หยุดแล้วอาจทำให้ต้องหยุดการผลิตทั้งโรงงานหรืออาจเกิดอันตรายขึ้นได้ก็จำเป็นต้องดูแลอย่างใกล้ชิดโดยอาจจำเป็นต้องมีการตรวจสภาพโดยใช้เครื่องวัดแบบต่อเนื่องรวมทั้งอาจต้องมีระบบสัญญาณเตือนด้วย แต่ถ้าเป็นชิ้นส่วนหรือวัสดุของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีความสำคัญต่อผลผลิตเช่นกัน แต่มีอายุการใช้งานที่ไม่แน่นอนและไม่มีเวลาเตือนโดยรูปแบบของการบำรุงรักษาที่เหมาะสมในเบื้องต้นก็คือการบำรุงรักษาแก้ไขแบบไม่มีแผน ซึ่งจะเป็นผลให้เกิดการสูญเสียที่สูงเมื่อมีการชำรุดเสียหายเกิดขึ้น ดังนั้นในกรณีนี้ก็อาจจำเป็นต้องมีเครื่องจักรและอุปกรณ์สำรองหรือมีการสำรองชิ้นส่วนหรืออะไหล่นั้นๆไว้ในคลังอะไหล่ โดยการพิจารณาเลือกวิธีที่จะใช้อาจต้องเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายของแต่ละทางเลือก เป็นต้น


              นอกเหนือไปจากความสำคัญที่มีต่อผลผลิตตามตัวอย่างข้างต้นแล้ว ผลของปัจจัยรองต่างๆที่มีต่อการกำหนดรูปแบบของการบำรุงรักษาที่เหมาะสมพอสรุปได้คือ ในกรณีที่ชิ้นส่วนหรือวัสดุของเครื่องจักรและอุปกรณ์สามารถใช้ได้ทั้งการบำรุงรักษาป้องกันและการบำรุงรักษาแก้ไขนั้น การบำรุงรักษาป้องกันจะใหั สมรรถนะความพร้อมใช้งานที่สูงกว่าและมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่ต่ำกว่าการบำรุงรักษาแก้ไข โรงงานที่มีลักษณะและแผนการผลิตที่ต้องมีการทำงานอย่างต่อเนื่องและมีการหยุดการผลิตตามฤดูกาล ชิ้นส่วนหรือวัสดุของเครื่องจักรและอุปกรณ์บางอย่างอาจเหมาะกับการบำรุงรักษาป้องกันทางตรงมากกว่าการบำรุงรักษาป้องกันทางอ้อมหรืออาจจำเป็นต้องใช้การบำรุงรักษาทั้งสองรูปแบบร่วมกัน และชิ้นส่วนและวัสดุของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีสภาพการใช้งานอย่างต่อเนื่องอาจไม่เหมาะกับการบำรุงรักษาที่ต้องปฏิบัติในขณะที่หยุดเครื่องจักรและอุปกรณ์เท่านั้น



โปรแกรมบริหารงานซ่อมบำรุง ที่ทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น