1. การเลือกรูปแบบของการบำรุงรักษาให้เหมาะสมกับชิ้นส่วน เครื่องจักรกล และอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องมีการบำรุงรักษา
2. การเปลี่ยนจากการบำรุงรักษาแก้ไขชนิดที่ไม่มีแผนให้เป็นการบำรุงรักษาแก้ไขชนิดที่มีแผน
3. การดำเนินการบำรุงรักษาป้องกันสำหรับชิ้นส่วน วัสดุ เครื่องจักร และอุปกรณ์ ในระดับที่เหมาะสม
4. การหาและใช้หน้าต่างของการบำรุงรักษาให้ได้ประโยชน์สูงสุด
5. การดำเนินการบำรุงรักษาเชิงรุก
6. การให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานบำรุงรักษา
2. การเปลี่ยนจากการบำรุงรักษาแก้ไขชนิดที่ไม่มีแผนให้เป็นการบำรุงรักษาแก้ไขชนิดที่มีแผน
3. การดำเนินการบำรุงรักษาป้องกันสำหรับชิ้นส่วน วัสดุ เครื่องจักร และอุปกรณ์ ในระดับที่เหมาะสม
4. การหาและใช้หน้าต่างของการบำรุงรักษาให้ได้ประโยชน์สูงสุด
5. การดำเนินการบำรุงรักษาเชิงรุก
6. การให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานบำรุงรักษา
การนำเอากลยุทธ์ดังกล่าวข้างต้นไปใช้จะทำให้ได้ระบบการจัดการงานบำรุงรักษาที่มีพื้นฐานที่มั่นคงและเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่การบำรุงรักษาที่ถูกต้อง แต่จะให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีมากน้อยเท่าใด จะขึ้นอยู่กับระดับของการนำกลยุทธ์แต่ละกลยุทธ์ไปใช้และการผสมผสานกลยุทธ์ต่างๆเข้าด้วยกัน
การเลือกรูปแบบของการบำรุงรักษาที่เหมาะสม
การบำรุงรักษาที่จะกระทำต่อชิ้นส่วน เครื่องจักร และอุปกรณ์ส่วนใหญ่สามารถทำได้หลายรูปแบบ ซึ่งการพิจารณาเลือกรูปแบบการบำรุงรักษาที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ได้แก่ ลักษณะของอายุการใช้งานและการเกิดความเสียหายและเสื่อมสภาพของชิ้นส่วนและสารต่างๆที่ใช้ในเครื่องจักรและอุปกรณ์ สมรรถนะความพร้อมใช้งานของเครื่องจักรและอุปกรณ์ ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา ความสำคัญของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีต่อผลผลิต ลักษณะและแผนการผลิต สภาพการใช้งานและสภาพแวดล้อม และปัจจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้อง โดยปัจจัยทั้งหมดนี้สามารถจำแนกออกเป็นปัจจัยหลักซึ่งเป็นตัวกำหนดรูปแบบของการบำรุงรักษาในเบื้องต้นและปัจจัยรองที่ต้องนำมาพิจารณาประกอบเพื่อยืนยันความเหมาะสมของรูปแบบของการบำรุงรักษาที่ถูกกำหนดโดยปัจจัยหลัก
การกำหนดรูปแบบของการบำรุงรักษาที่เหมาะสมโดยทั่วไปมักจะใช้ลักษณะของอายุการใช้งานและการเกิดความเสียหายและเสื่อมสภาพของชิ้นส่วนและวัสดุหรือสารต่างๆที่ใช้ในเครื่องจักรและอุปกรณ์เป็นปัจจัยหลักในการพิจารณา ทั้งนี้เนื่องจากชิ้นส่วนและสารต่างๆที่ใช้ในเครื่องจักรและอุปกรณ์แต่ละชิ้นหรือแต่ละประเภทจะมีอายุการใช้งานเฉพาะตัว โดยจะขึ้นอยู่กับแบบ คุณภาพ การทำงาน และสภาพแวดล้อมอื่นๆ ชิ้นส่วนหรือวัสดุแบบ คุณภาพ และทำงานในสภาพแวดล้อมหนึ่งๆถ้ามีอายุการใช้งานหรือเวลาที่จะเกิดปัญหาขัดข้องที่พอคาดคะเนได้ก็จะถือว่าชิ้นส่วนหรือวัสดุนั้นมีอายุการใช้งานที่ค่อนข้างแน่นอนหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นจะสม่ำเสมอ (Regular failure) หรือถ้ามีอายุการใช้งานหรือเวลาที่จะเกิดปัญหาขัดข้องที่ไม่สามารถคาดคะเนได้ก็จะถือว่าชิ้นส่วนหรือวัสดุนั้นมีอายุการใช้งานที่ไม่แน่นอนหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นจะไม่สม่ำเสมอ (random failure)
นอกจากลักษณะของอายุการใช้งานที่แตกต่างกันแล้ว ชิ้นส่วนและวัสดุที่ใช้ในเครื่องจักรและอุปกรณ์ยังมีลักษณะของการเกิดความเสียหายที่แตกต่างกันอีกด้วย ซึ่งพอจำแนกการเกิดความเสียหายนี้ออกได้เป็น 2 ลักษณะคือ ความเสียหายที่มีเวลาเตือนของการเกิดความเสียหาย หรือมีอาการหรือสิ่งบ่งบอกล่วงหน้าเป็นเวลาระยะหนึ่งก่อนที่จะเกิดความเสียหาย หรือความเสียหายที่เกิดขึ้นจะใช้เวลาระยะหนึ่งในการพัฒนาจากอาการขัดข้องเล็กน้อยจนเป็นกลายไปเป็นความเสียหายในที่สุด ( failure with failure developing time ) ตามลักษณะที่แสดงด้วยกราฟตามรูปที่ 4.7 และความเสียหายที่ไม่มีเวลาเตือนของการเกิดความเสียหาย หรือไม่มีอาการหรือบ่งบอกล่วงหน้าเป็นเวลาระยะหนึ่งก่อนที่จะเกิดความเสียหาย หรือความเสียหายที่เกิดขึ้นจะไม่มีระยะเวลาในการพัฒนาจากอาการขัดข้องเล็กน้อยจนกลายไปเป็นความเสียหาย ( failure without failure developing time ) ตามลักษณะที่แสดงด้วยกราฟ
การกำหนดรูปแบบของการบำรุงรักษาที่เหมาะสมโดยทั่วไปมักจะใช้ลักษณะของอายุการใช้งานและการเกิดความเสียหายและเสื่อมสภาพของชิ้นส่วนและวัสดุหรือสารต่างๆที่ใช้ในเครื่องจักรและอุปกรณ์เป็นปัจจัยหลักในการพิจารณา ทั้งนี้เนื่องจากชิ้นส่วนและสารต่างๆที่ใช้ในเครื่องจักรและอุปกรณ์แต่ละชิ้นหรือแต่ละประเภทจะมีอายุการใช้งานเฉพาะตัว โดยจะขึ้นอยู่กับแบบ คุณภาพ การทำงาน และสภาพแวดล้อมอื่นๆ ชิ้นส่วนหรือวัสดุแบบ คุณภาพ และทำงานในสภาพแวดล้อมหนึ่งๆถ้ามีอายุการใช้งานหรือเวลาที่จะเกิดปัญหาขัดข้องที่พอคาดคะเนได้ก็จะถือว่าชิ้นส่วนหรือวัสดุนั้นมีอายุการใช้งานที่ค่อนข้างแน่นอนหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นจะสม่ำเสมอ (Regular failure) หรือถ้ามีอายุการใช้งานหรือเวลาที่จะเกิดปัญหาขัดข้องที่ไม่สามารถคาดคะเนได้ก็จะถือว่าชิ้นส่วนหรือวัสดุนั้นมีอายุการใช้งานที่ไม่แน่นอนหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นจะไม่สม่ำเสมอ (random failure)
นอกจากลักษณะของอายุการใช้งานที่แตกต่างกันแล้ว ชิ้นส่วนและวัสดุที่ใช้ในเครื่องจักรและอุปกรณ์ยังมีลักษณะของการเกิดความเสียหายที่แตกต่างกันอีกด้วย ซึ่งพอจำแนกการเกิดความเสียหายนี้ออกได้เป็น 2 ลักษณะคือ ความเสียหายที่มีเวลาเตือนของการเกิดความเสียหาย หรือมีอาการหรือสิ่งบ่งบอกล่วงหน้าเป็นเวลาระยะหนึ่งก่อนที่จะเกิดความเสียหาย หรือความเสียหายที่เกิดขึ้นจะใช้เวลาระยะหนึ่งในการพัฒนาจากอาการขัดข้องเล็กน้อยจนเป็นกลายไปเป็นความเสียหายในที่สุด ( failure with failure developing time ) ตามลักษณะที่แสดงด้วยกราฟตามรูปที่ 4.7 และความเสียหายที่ไม่มีเวลาเตือนของการเกิดความเสียหาย หรือไม่มีอาการหรือบ่งบอกล่วงหน้าเป็นเวลาระยะหนึ่งก่อนที่จะเกิดความเสียหาย หรือความเสียหายที่เกิดขึ้นจะไม่มีระยะเวลาในการพัฒนาจากอาการขัดข้องเล็กน้อยจนกลายไปเป็นความเสียหาย ( failure without failure developing time ) ตามลักษณะที่แสดงด้วยกราฟ


จากการจำแนกลักษณะอายุการใช้งานและการเกิดความเสียหายของชิ้นส่วนตามรายละเอียดข้างต้นทำให้สามารถกำหนดรูปแบบของการบำรุงรักษาที่เหมาะสมเบื้องต้นสำหรับชิ้นส่วนและวัสดุของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีลักษณะของอายุการใช้งานและการเกิดความเสียหายที่แตกต่างกันได้เป็น 4 กรณี คือ
1.ชิ้นส่วนหรือวัสดุที่มีอายุการใช้งานที่ค่อนข้างแน่นนอนและมีเวลาเตือนสำหรับความเสียหายที่จะเกิดขึ้น จะเหมาะกับการบำรุงรักษาป้องกันทางอ้อม ถ้าสามารถตรวจสอบสภาพของชิ้นส่วนหรือวัสดุนั้นๆได้ และถ้าการตรวจสอบแบบใช้ความรู้สึกสามารถให้ข้อมูลที่เพียงพอในการกำหนดสภาพและการคาดคะเนความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้ก็ควรใช้การตรวจสอบสภาพแบบใช้ความรู้สึก แต่ถ้าไม่สามารถตรวจสอบโดยใช้ความรู้สึกได้หรือใช้ได้แต่ให้ข้อมูลที่ไม่สามารถกำหนดสภาพของชิ้นส่วนหรือวัสดุได้ก็จะต้องใช้การตรวจสภาพแบบใช้เครื่องวัด และถ้าเวลาเตือนสำหรับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นสั้นก็ควรใช้การตรวจสอบแบบใช้เครื่องวัดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อตรวจสอบพบว่าชิ้นส่วนหรือวัสดุจะเกิดความเสียหายหรือเสื่อมสภาพหรือทำงานไม่ได้ตามที่กำหนดและจะนำไปสู่ความเสียหายก็จะดำเนินการเปลี่ยนหรือปรับตั้งก่อนที่เกิดความเสียหายนั้นๆขึ้น ซึ่งก็คือการดำเนินงานบำรุงรักษาตามสภาพนั่นเอง
2.ชิ้นส่วนหรือวัสดุที่มีอายุการใช้งานที่ค่อนข้างแน่นอนแต่ไม่มีเวลาเตือนสำหรับความเสียหายที่จะเกิดขึ้น จะเหมาะกับการบำรุงรักษาป้องกันทางตรงหรือการบำรุงรักษาตามกำหนดเวลาที่แน่นอน ทั้งนี้เนื่องจากไม่มีเวลาเตือนสำหรับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจึงไม่สามารถตรวจสอบสภาพหรือทำการบำรุงรักษาป้องกันทางอ้อม และทำการบำรุงรักษาตามสภาพได้ แต่เนื่องจากมีอายุการใช้งานที่ค่อนข้างแน่นอนจึงพอที่กำหนดระยะเวลาที่ต้องทำการเปลี่ยนหรือปรับตั้งชิ้นส่วนหรือวัสดุได้ก่อนที่ชิ้นส่วนจะเกิดความเสียหายหรือเสื่อมสภาพได้
3.ชิ้นส่วนหรือวัสดุที่มีอายุการใช้งานที่ไม่แน่นอนแต่มีเวลาเตือนสำหรับความเสียหายที่จะเกิดขึ้น จะเหมาะกับการบำรุงรักษาป้องกันทางอ้อม ถ้าสามารถตรวจสอบสภาพของชิ้นส่วนหรือวัสดุนั้นๆได้ ทั้งนี้เนื่องจากมีเวลาเตือนเพียงพอที่จะใช้เตรียมการสำหรับการบำรุงรักษาตามสภาพได้เมื่อตรวจพบว่ามีอาการบ่งบอกถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นหรือพบการเริ่มเกิดความเสียหายเช่นเดียวกับในกรณีแรก และถ้าสามารถทำการตรวจสอบโดยใช้ความรู้สึกแล้วได้ผลลัพธ์ที่เพียงพอในการกำหนดสภาพของชิ้นส่วนและวัสดุนั้นๆก็ควรใช้การตรวจสภาพโดยใช้ความรู้สึก แต่ถ้าทำไม่ได้หรือทำได้แต่ผลลัพธ์ไม่เพียงพอก็ควรใช้การตรวจสอบโดยใช้เครื่องวัด ซึ่งถ้าเวลาเตือนสั้นก็ควรจะเป็นการตรวจสอบแบบต่อเนื่องเช่นกัน
4.ชิ้นส่วนหรือวัสดุที่มีอายุการใช้งานที่ไม่แน่นอนและไม่มีเวลาเตือนสำหรับความเสียหายที่จะเกิดขึ้น จำเป็นต้องใช้การบำรุงรักษาแก้ไขเนื่องจากไม่สามารถคาดคะเนอายุการใช้งานได้ และไม่มีเวลาเตือนที่จะนำไปใช้ในการวางแผนและเตรียมการบำรุงรักษา
เมื่อได้พิจารณารูปแบบของการบำรุงรักษาที่เหมาะสมโดยอาศัยปัจจัยหลักแล้ว ก็ควรนำเอาปัจจัยรองแต่ละปัจจัยมาพิจารณายืนยันและกำหนดรายละเอียดที่จำเป็นต้องเพิ่มเติมสำหรับรูปแบบของการบำรุงรักษาที่เหมาะสมที่ได้จากการใช้ปัจจัยหลักนั้นๆ ตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นชิ้นส่วนหรือวัสดุของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มี

นอกเหนือไปจากความสำคัญที่มีต่อผลผลิตตามตัวอย่างข้างต้นแล้ว ผลของปัจจัยรองต่างๆที่มีต่อการกำหนดรูปแบบของการบำรุงรักษาที่เหมาะสมพอสรุปได้คือ ในกรณีที่ชิ้นส่วนหรือวัสดุของเครื่องจักรและอุปกรณ์สามารถใช้ได้ทั้งการบำรุงรักษาป้องกันและการบำรุงรักษาแก้ไขนั้น การบำรุงรักษาป้องกันจะใหั สมรรถนะความพร้อมใช้งานที่สูงกว่าและมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่ต่ำกว่าการบำรุงรักษาแก้ไข โรงงานที่มีลักษณะและแผนการผลิตที่ต้องมีการทำงานอย่างต่อเนื่องและมีการหยุดการผลิตตามฤดูกาล ชิ้นส่วนหรือวัสดุของเครื่องจักรและอุปกรณ์บางอย่างอาจเหมาะกับการบำรุงรักษาป้องกันทางตรงมากกว่าการบำรุงรักษาป้องกันทางอ้อมหรืออาจจำเป็นต้องใช้การบำรุงรักษาทั้งสองรูปแบบร่วมกัน และชิ้นส่วนและวัสดุของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีสภาพการใช้งานอย่างต่อเนื่องอาจไม่เหมาะกับการบำรุงรักษาที่ต้องปฏิบัติในขณะที่หยุดเครื่องจักรและอุปกรณ์เท่านั้น

โปรแกรมบริหารงานซ่อมบำรุง ที่ทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น